ทนายภูวงษ์ โพธิ์ไทร ประธานเครือข่ายทนายความ

ทนายภูวงษ์ โพธิ์ไทร ประธานเครือข่ายทนายความ

เปิดหน้าต่อไป

รู้จักทนาย รู้กฎหมาย ไม่เสียเปรียบ

รู้จักทนายความทั่วประเทศ

เวปไซต์ เครือข่ายทนายความ

All Thailand Lawyer

https://www.thailandlawyer.com

 

Thailand Lawyer

https://www.lawyerhelpme.com

 

Welcome to Thailand

https://www.visa2thailand.com

 

President of Lawyer Network

https://www.lawyerpoovong.com

 

เครือข่ายทนายความ

https://www.เครือข่ายทนายความ.com

 

ทนายใกล้คุณ

https://www.ทนายใกล้คุณ.com

 

ทนายใกล้ศาล

https://www.ทนายใกล้ศาล.com

 

ทนายออนไลน์

https://www.ทนายออนไลน์.com

 

ฟ้องคดี

https://www.ฟ้องคดี.com

 

สู้คดี

https://www.สู้คดี.com

 

ทนายความกรุงเทพมหานคร

https://www.ทนายกรุงเทพ.com

 

ทนายคดีครอบครัว

https://www.ทนายคดีครอบครัว.com

 

ทนายคดีอาญาทุจริต

https://www.ทนายความคดีอาญาทุจริต.com

 

ทนายบังคับคดี

https://www.ทนายบังคับคดี.com


เครือข่ายทนายความ 

กรุงเทพมหานคร

https://www.ทนายกรุงเทพ.com    

เขตวัฒนา

ภูวงษ์ โพธิ์ไทร

https://www.ทนายภูวงษ์.com    

 

 

 

ภาคกลาง

ลพบุรี

ทนายประดิษฐ์ อินทร์เฉลียว

https://www.ทนายประดิษฐ์.com   

นครปฐม

ทนายอนันต์

https://www.ทนายอนันต์.com

อุทัยธานี

ทนายรัชเดช ทวีการไถ (วาว)

https://www.ทนายรัชเดช.com       

สระบุรี

ทนายทัศนีวรรณ อาจมุณี (นิด)

https://www.ทนายนิดสระบุรี.com

พิจิตร

ทนายธีรภัทร จงแจ่ม

https://www.ทนายธีรภัทร.com

สุพรรณบุรี

ทนายจักรพันธ์ สุขอนันต์

https://www.ทนายจักรพันธ์.com

พิษณุโลก

ทนายเสกสรร หนุนครบุรี

https://www.ทนายเสกสรรค์.com  

เพรชบูรณ์

ทนายธีรนาถ พังคะ

https://www.ธีรนาถ.com

นครสวรรค์

ทนายบ่าวอุบล

https://www.ทนายบ่าว.com

นครสวรรค์

ทนายไพศาล ทองหาญ

https://www.ไพศาล.com

สมุทรสาคร

ทนายชีวารัตน์ มะลิวงษ์

https://www.ทนายชีวารัตน์.com

สมุทรสาคร

ทนายวณิชชา วงศ์เสนา

https://www.ทนายวณิชชา.com

 

 

 

ภาคเหนือ

เชียงราย

ทนายทวีโชค ทาแกง

https://www.ทนายแบงค์.com

พะเยา

นายอรอนงค์ ขวัญเพชร

https://www.ทนายอรอนงค์.com   

น่าน

ทนายศิริชญาภรณ์ วรรณ์ยางค์กูร

https://www.ทนายแขก.com

เชียงใหม่

ทนายอัษฎา ยอดทองเลิศ

https://www.อัษฎา.com

 

 

 

ภาคอีสาน

สุรินทร์

ทนายครูองอาจ สุจินพร์หม

https://www.ทนายครูองอาจ.com  

สุรินทร์

ทนายสมรส มั่นยืน

https://www.ทนายสมรส.com

ชัยภูมิ

ทนายธนะรัชต์

https://www.ทนายธนะรัชต์.com

ขอนแก่น

ทนายณฐพฤกษ

https://www.ทนายณฐพฤกษ.com 

ขอนแก่น

ทนายศิรประภา พรมกรรณ์

https://www.ทนายศิรประภา.com

ขอนแก่น (ชุมแพ)

ทนายยศพนธ์

https://www.ทนายยศพนธ์.com  

ศรีสะเกษ

ทนายสุทธศิลป์ สิงหวิโรจน์ (โตน)

https://www.ทนายโตน.com

ศรีสะเกษ

ทนายเตชทัต ศรีวิเศษ

https://www.ทนายเตชทัต.com 

นครราชสีมา

ทนายพลัฎฐ์ เพียรพิทักษ์

https://www.ทนายพลัฎฐ์.com      

นครราชสีมา

ทนายนิติรัตน์ จันทร์โสม

https://www.ทนายนิติรัตน์.com

สกลนคร

ทนายวีระพงษ์ หารธงไชย

https://www.ทนายวีระพงษ์.com

เลย

ทนายขจรศักดิ์ หาญเพชร

https://www.ทนายขจรศักดิ์.com    

ร้อยเอ็ด

ทนายพชร ผดุงกิจ

https://www.ทนายพชรร้อยเอ็ด.com

อำนาจเจริญ

ทนายพิศาล บุระกรณ์

https://www.ทนายพิศาล.com

อุบลราชธานี

ทนายพิชิตชัย บุญเลิศ

https://www.ทนายพิชิตชัย.com     

อุบลราชธานี

ทนายวันชัย นันท์สุนีย์ (ตั้ม)

https://www.ทนายตั้มอุบลราชธานี.com  

อุบลราชธานี

ทนายสุพรรณ ศรีหงษา

https://www.ทนายสุพรรณ.com

อุดรธานี

ทนายนิธิวัฒน์ พรประเสริฐ (ป๊อป)

https://www.ทนายนิธิวัฒน์.com 

 

 

ภาคใต้

นครศรีธรรมราช

ทนายภิญญาพัชญ์ จุลภักดิ์

https://www.ทนายคดีครอบครัว.com

สุราษฎร์ธานี

ทนายกฤตภาส ฐานะตระการกูล

https://www.ทนายเอกทนายคุ้มครองสิทธิ.com

สงขลา

ทนายบุญวัฒน์ คงดี

https://www.ทนายบุญวัฒน์.com

สงขลา

ทนายธนวัฒน์ ราชภักดี

https://www.ทนายเป็นต่อ.com

นราธิวาส

ทนายธนกร มะ

https://www.ทนายธนกร.com   

 

 

 

ภาคตะวันออก

ชลบุรี

ทนายลูกัส

https://www.สมาร์ทไทยลอว์เยอร์.com

จันทบุรี

ทนายอุลิช ดิษญปราณีต (บุ๊น)

https://www.ทนายอุลิช.com

ปราจีนบุรี

ทนายกอบธนัช สุขภูมิ (โอ๋)

https://www.ทนายกอบธนัช.com

ปราจีนบุรี

ทนายสิทธิโชค คำวงศ์ (โชค)

https://www.ทนายโชคปราจีนบุรี.com

 

 

 

ภาคตะวันตก

กาญจนบุรี

ทนายวรรณรง สีหานาท (ภู่)

https://www.ทนายภู่.com  

กาญจนบุรี (ทองผาภูมิ)

ทนายเตชวัชร มนูเดชาวัชร (เสือ)

https://www.ทนายเสือ.com  

เพชรบุรี

ทนายทิพาคุณ วันไกล (โต้ง)

https://www.ทนายทิพาคุณ.com

 

รู้กฎหมาย ไม่เสียเปรียบ

  1. ปืน
  2. หมิ่นประมาท
  3. ครอบครัว
  4. ที่ดิน
  5. มรดก
  6. แรงงาน
  7. รถยนต์
  8. คนเข้าเมือง

1. รู้กฎหมายเรื่องปืน

เรื่อง ปืน
◦ 1. ควงปืนไปในเขตชุมชน
◦ 2. พกปืนต้องมีมบอนุญาตพกปืนนะครับ
◦ 3. ปืนหาย ต้องไปแจ้งความนะครับ
◦ 4. ปืนมีไว้เพื่อป้องกันตัว
◦ 5. เสือปืนไว
◦ 6. ปืนเถื่อน
◦ 7. จี้ด้วยปืนปลอม
◦ 8. ยิงปืนขึ้นฟ้า
◦ 9. พกปืน-ยิงปืน

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com  

1. ควงปืนไปในเขตชุมชนอาวุธปืนเป็นสิ่งหนึ่งที่กฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวดในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะซื้อ มีไว้ในครอบครอง ตลอดจนการพกพาไปในสถานที่ต่างๆ ด้วย เนื่องจากอาจเกิดเหตุที่เป็นภัยกับผู้อื่นได้ แม้ว่าเราจะมีทั้งใบอนุญาตให้มีปืน และใบอนุญาตให้พกปืนแล้วก็ตาม แต่กฎหมายก็ยังมีข้อห้ามไว้สำหรับการนำอาวุธปืนออกมาพกอย่างเปิดเผย ในที่ชุมนุมชน อย่างเช่น งานประเพณี มหรสพ หรืออื่น ซึ่งอาจทำให้เกิด ความหวาดกลัวขึ้นได้ ยกเว้นแต่จะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย หรือรักษาสินทรัพย์ของทางรัฐ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรค 2 ประกอบมาตรา 72 ทวิ วรรค 2 กำหนดโทษของผู้ที่มิใช้เจ้าพนักงานหรือผู้ที่กฎหมายอนุญาตแต่พกอาวุธปืน อย่างเปิดเผยในสาธารณะว่า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 10,000 บาท

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

******************************



2. พกปืนต้องมีมบอนุญาตพกปืนนะครับแม้ว่าคนที่มีครอบครองปืน จะได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ได้ตาม กฎหมายแล้ว แต่กฎหมายก็ไม่อนุญาต ให้พกปืนออกไปนอกสถานที่ได้ อย่างเสรี เพราะว่าอาจก่ออันตราย ต่อบุคคลอื่นขึ้นได้ การจะนำปืนติดตัวไปนั้นจำเป็น จะต้องมีใบพกพาใบพกพาทั่วราชอาณาจักร หรือในเขตจังหวัด (ป.12) ซึ่งผู้ใด ประสงค์มีใบพกพาต้องยื่นคำร้อง ต่อเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต และผู้ได้รับใบพกปืนจำเป็นต้องมี คุณสมบัติตามระเบียบที่กระทรวง มหาดไทยกำหนด ตัวอย่างเช่น เป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ควบคุมทรัพย์สินของรัฐบาล ข้าราชการ ตั้งแต่หัวหน้าแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป ผู้มีหน้าที่ในการปราบปรามหรือ การปฏิบัติงานในการฝ่าอันตราย อย่างไรก็ ตามสำหรั บผู้ครอบครองปืน ที่มิใช่เจ้าหน้าที่ที่มีใบอนุญาตพกปืน แต่มีเหตุเร่งด่วนตามสมควรแก่เหตุ เช่น คุณสมศักดิ์เพิ่งขายสินค้าได้เงิน มาหลายแสนบาทและจำเป็นต้อง นำไปฝากธนาคารซึ่งอยู่ห่างไกล อันเป็นเส้นทางที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม จึงพกปืนที่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย โดยไม่มีใบอนุญาตพกพา การกระทำดังกล่าวอาจอ้างได้ว่าเพราะเป็น ความจำเป็นและเร่งด่วนแต่หากใครฝ่าฝืนหรือพกปืน โดยไม่เข้าข้อยกเว้นดังกล่าว ถือว่ามี ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 72 ทวิ วรรค 2 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

******************************

3. ปืนหาย ต้องไปแจ้งความเมื่อเรามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองแล้ว นอกจากจะต้องใช้อย่างรับผิดชอบแล้ว ก็จะต้องเก็บรักษาอาวุธปืนไว้ในที่ปลอดภัยและแน่นหนา นอกจากนี้ผู้ที่มีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองก็จำเป็นที่จะต้องศึกษาพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ให้เข้าใจถึงหน้าที่ และข้อผูกพันตามกฎหมายให้ดี เพราะกฎหมายจะกำหนดว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อสถานการณ์หนึ่งๆ เกิดขึ้นหากว่านาย ก.ครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ได้พบว่า อาวุธปืนนั้นหายไป หาเท่าไรก็ไม่พบ สิ่งที่จะต้องทำนอกเหนือจากไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทรัพย์สินซึ่งคืออาวุธปืนสูญหายแล้ว ก็ยังต้องไปแจ้งเหตุ และส่งมอบใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนนั้นต่อนายทะเบียนในท้องที่ ซึ่งตนอยู่อาศัย หรือท้องที่ที่ปืนนั้นสูญหาย ทั้งนี้ นาย ก.จะต้องดำเนินการภายใน 15 วัน นับตั้งแต่ทราบเรื่อง ถ้าหาก ไม่ปฏิบัติตาม จะมีความผิดตาม มาตรา 21 และรับโทษตามมาตรา 83 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

*****************************

4. ปืนมีไว้เพื่อป้องกันตัวสังคมปัจจุบันที่เราไว้วางใจ คนแปลกหน้าไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นผู้ร้าย หรือผู้ดี ทำให้บางครั้งเราก็อยากจะมี อาวุธไว้ป้องกันตัวเอง คนในครอบครัว และทรัพย์สินของเรา ให้ปลอดจาก ผู้ที่มามุ่งร้าย โดยเฉพาะอาวุธปืน อย่างไรก็ตาม อาวุธปืนเป็นสิ่งที่ สามารถทำอันตรายผู้อื่นให้บาดเจ็บ สาหัสหรือถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยและสุขสงบ ของสังคม จึงต้องมีกฎหมาย มาควบคุมการซื้อขาย ครอบครอง และการใช้อาวุธปืนอย่างเข้มงวดปืนถือเป็นอาวุธที่อาจเป็นอันตรายได้ จึงต้องมีกฎหมายมาเกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับคน ในสังคม ดังนั้นหากต้องการมีอาวุธปืน ไว้ป้องกันตัว ต้องแจ้งจดทะเบียนต่อ เจ้าหน้าที่พนักงานตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7 ทั้งนี้ หากฝ่าฝืน ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่พนักงาน ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000- 20,000 บาท ตามมาตรา 72 วรรคแรก

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

*****************************

5. เสือปืนไวสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” น่าจะใช้ได้ดีกับพฤติกรรมของวัยรุ่นบางกลุ่มในสมัยนี้ที่มีการจับกลุ่มทะเลาะวิวาทตามที่เห็นจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะพวกเสือปืนไวหรือชอบชักปืน โชว์อาวุธในการต่อสู้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 379 กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งอาวุธในที่นี้หมายถึง อาวุธทุกชนิด ทั้งสิ่งที่ไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ เช่น คัทเตอร์ มีดพับ และรวมไปถึงอาวุธโดยสภาพ เช่น ดาบ หอก ปืน และจะผิดตามมาตรา 379 ได้ต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วน ดังนี้ 1) ชักหรือโชว์อาวุธ 2) เป็นสถานการณ์ สมัครใจทะเลาะวิวาทกันทั้ง 2 ฝ่าย

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

******************************

6. ปืนเถื่อนกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ถือเป็นข้อกฎหมายที่ประชาชนที่มีอาวุธปืนมักทำผิดได้บ่อย เนื่องจากมี หลายข้อหาเกี่ยวพันกัน ซึ่งหากบุคคลใดมีอาวุธปืนไว้ในการครอบครองแต่เป็นอาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียน หรือ ที่เรียกว่า ‘ปืนเถื่อน’ ต้องระวางโทษจำคุก 1 ปี - 10ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 - 20,000 บาท ซึ่งเป็นไป ตามมาตรา 7 ประกอบมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490
7. จี้ด้วยปืนปลอมโจรผู้ร้ายบางคนใช้จิตวิทยาขู่ให้คนกลัว โดยการปล้นจี้โดยไม่ได้ใช้มีด หรือปืนจริง แต่กลับใช้อาวุธเทียม หรืออาวุธปลอมไปก่ออาชญากรรม ซึ่งกรณีนี้จะมีความผิดอย่างไรนั้น กฎหมายสามัญประจำบ้านมีคำตอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ระบุว่า ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือ จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือ จำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเป็นการกระทำโดยมีอาวุธ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ตามมาตรา 309 วรรค 2ซึ่งศาลเคยตัดสินในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5161/2533 ว่า การที่จำเลยใช้ลูกกุญแจจี้ที่เอวผู้เสียหายแล้วดึงปากกาเขียนแบบกับดินสอ ซึ่งเหน็บอยู่ที่สมุดของผู้เสียหายไปนั้น เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ลูกกุญแจดังกล่าวอย่างอาวุธ และมีเจตนาให้ผู้เสียหายเกิดความเกรงกลัวไม่กล้าขัดขืน ถือได้ว่าเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหาย ให้จำยอมตามความประสงค์ของจำเลย โดยทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยใช้อาวุธ

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

************************

8. ยิงปืนขึ้นฟ้าเชื่อว่าหลายๆ ท่าน คงจะเห็นภาพจนชินตากับการยิงปืนขึ้นฟ้าในช่วงเทศกาลต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ระบุว่า ผู้ใดยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับนอกจากนี้ ศาลฎีกายังเคยตัดสินในคำพิพากษาฎีกา ที่ 3452/2546 ว่าจำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด แม้จะเป็นเพียงการทดสอบว่าอาวุธปืนของกลางนั้นจะยังใช้ได้อยู่หรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในหมู่บ้านตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 แล้ว

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

*****************************

9. พกปืน - ยิงปืนการมีใบอนุญาตครอบครองปืนและลูกกระสุนปืนนั้น จำกัดเพียงการอนุญาตมีไว้เพื่อครอบครองเท่านั้น แต่การพกพาไปไหนมาไหนไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจ การจะยิงปืนก็เช่นกัน ทั้งนี้ หากพกพาอาวุธปืนโดยไม่มีใบอนุญาตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา8 ทวิวรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 72 ทวิวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490อีกทั้งในตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ระบุว่า การยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น ใครที่มีใบอนุญาตพกปืนก็ยังต้องระวังว่า การพกปืนไปไหนมาไหน หรือการยิงปืนโดยไม่มีเหตุผล อันสมควรอาจติดคุกหรือถูกปรับได้

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

*****************************

10. ปืนผิดมือนอกจากการที่มีอาวุธไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่จะผิดกฎหมายแล้ว การที่มีอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาตแต่เป็นของผู้อื่นไว้ในครอบครอง หรือที่เรียกว่า ‘ปืนผิดมือ’ ถือเป็นความผิดเช่นกัน ซึ่งต้องระวางโทษจำคุก 6 เดือน – 5 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 – 10,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 ประกอบมาตรา 72 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490นอกจากนี้ การมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต (กระสุนไม่ถูกขนาดกับปืนที่ได้รับอนุญาต) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 8ประกอบมาตรา 72 ทวิวรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

**************************  

2. รู้กฎหมายเรื่องหมิ่นประมาท

เรื่อง หมิ่นประมาท
1. องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาท
2. ความผิดฐานหมิ่นประมาท
3. การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่ง
4. กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
5. ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้
6. ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลัง
7. ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มัน


ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************************  

1. องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทมนุษย์ เป็นสัตว์สังคมที่มีการติดต่อสื่อสารระหว่าง แต่บางครั้งการสื่อสารนั้นอาจเป็นการกล่าวถึงบุคคล ที่สาม หรือที่เรียกว่า ‘นินทา’ แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมการนินทาผู้อื่นอาจจะทำให้ถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 บัญญัติว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับทั้งนี้ องค์ประกอบหมิ่นประมาทผู้อื่นต้องมี 3 ส่วนครบถ้วน ดังนี้ 1) ใส่ความผู้อื่น 2) ต่อบุคคลที่สาม และ 3) การใส่ความนั้นน่าจะทำให้ผู้อื่นเสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง จึงจะมีความผิดฐาน หมิ่นประมาท

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com


***************************************  

2. ความผิดฐานหมิ่นประมาทมนุษย์ในสังคมย่อมมีข้อขัดแย้งโต้เถียงกันเป็นเรื่องธรรมชาติของคนหมู่มากแต่หากมีบุคคลหนึ่งใส่ความ หรือกล่าวให้ร้ายผู้อื่นต่อบุคคลที่สามในทางที่เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง กฎหมายได้บัญญัติให้บุคคลที่จงใจกระทำผิดต้องรับโทษทางอาญา ฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************************  

3. การรับผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่งการหมิ่นประมาท โดยการใส่ความหรือให้ร้ายผู้อื่นให้ได้รับความเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียง และส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าในชีวิต ผู้เสียหายสามารถใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ทั้งนี้ การกระทำที่จะต้องรับผิดฐานหมิ่นประมาทในทางแพ่งจะต้องเป็นการใส่ความในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เพราะหากเป็นความจริงไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้นอกจากนี้การรับผิดทางแพ่งนั้นไม่จำเป็นต้องมีเจตนาใส่ร้ายหรือใส่ความคนอื่นแม้เป็นการกระทำด้วยความประมาทเลินเล่อก็ต้องรับผิดเช่นกัน


มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com


***************************************  

4. กล่าวหาคนตาย อาจกลายเป็นหมิ่นประมาทนอกจากการไปทำกิริยาที่ไม่เหมาะสม เช่น ด่าทอ หรือเหยียดหยาม ผู้ตายซึ่งผู้กระทำก็ต้องรับโทษไปแล้ว หากมีการกระทำที่มากกว่านั้น จนถึงขั้นเป็นการใส่ความผู้ตาย ต่อบุคคลที่สาม ซึ่งการใส่ความนั้น น่าจะเป็นเหตุให้บิดามารดาคู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น กล่าวหาว่าผู้ตายเสียชีวิต เพราะโรคเอดส์ และยังกล่าวหาว่าภรรยาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ติดเอดส์ด้วย การกล่าวหาในลักษณะเช่นนี้ ส่งผลให้ ภรรยาและคนในครอบครัวถูกสังคม รังเกียจ จึงสามารถใช้สิทธิฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 327 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************************  

5. ด่าว่าผู้เสียชีวิต ก็ผิดได้แม้ว่าบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้วจะไม่มีสิทธิลุกขึ้นตอบโต้กับใครได้ แต่ก็ยังได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายในกรณีที่มีผู้ไม่พอใจไปทำกิริยาหรือพูดจา ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ในลักษณะด่าทอหรือเหยียดหยามผู้เสียชีวิตด้วยเหตุผลส่วนตัว เช่น ไม่พอใจเรื่องแบ่งมรดกจึงไปยืนด่าศพที่ตั้งสวดอยู่บนศาลาภายในวัดการกระทำดังกล่าวถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล กฎหมายอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ. 2558 ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 366/4 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************************  

6. ชอบโพสต์ ชอบแชร์ ระวังจะแย่ที่หลังในโลก Social Media (โซเชี่ยลมีเดีย) มักมีการส่งต่อ ที่เรียกว่า Share (แชร์) โดยเฉพาะภาพตัดต่อบุคคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง ดาราชื่อดัง หรือแม้กระทั่งคนธรรมดาที่เรารู้จักมาส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูกัน ทั้งใน Facebook (เฟซบุ๊ค) ในไลน์ หรือช่องทางอินเตอร์เน็ท อันถือเป็นความสนุกสนานของ ชาวโลกออนไลน์ ความสนุกแบบนี้อาจกลายเป็นโทษได้ ถ้าเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ส่งผล ให้บุคคลที่เรานำภาพและเรื่องเขามาแชร์ เกิดความเสียหาย อันเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 16 ต้องรับโทษปรับไม่เกิน 60,000 และจำคุกไม่เกิน 3 ปี

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com


***************************************  

7. ขาเมาท์ อย่าเอาแค่มันการเม้าท์ กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมถือว่า เป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสีสันให้กับ วงสนทนาไปเสียแล้ว อันที่จริงการเม้าท์ที่ว่านี้สามารถทำได้ แม้จะไม่สมควร แต่เรื่องราวที่หยิบมาเม้าท์กันนั้น ก็ต้องมีข้อจำกัด แม้จะเป็นเรื่องพูดแค่ให้เกิด ความสนุก แต่ถ้าเรื่องนั้นได้รับการขยายออกไป จนกลายเป็นความเชื่อของผู้คน ในวงกว้าง อันจะนำไปสู่ความแตกตื่น เสียหาย ในภายหลัง แม้ผู้พูดอาจจะ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นแก่ความสนุกสนาน แต่ก็ถือว่ามีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 384 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

3. รู้กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว

เรื่อง ครอบครัว

  1. อยากมีคู่ต้องดูอายุด้วย
  2. การหมั้นคืออะไร
  3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่
  4. สินสอด
  5. เงื่อนไขการสมรส
  6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายต้องทำอย่างไร
  7. การจดทะเบียนสมรสซ้อนมีผลอย่างไร
  8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา
  9. สินสมรสคืออะไร
  10. การแบ่งสินสมรส
  11. สินส่วนตัวคืออะไร
  12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง
  13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนกัน
  14. การรับบุตรบุญธรรม
  15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม
  16. สิทธิของบุตรบุญธรรม
  17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ชอบด้วยกฎหมาย
  18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน
  19. ความผิดฐานแท้งลูก
  20. ความผิดฐานทิ้งลูก
  21. ความรุนแรงในครอบครัว
  22. สามีภริยาทำร้ายร่างกายกัน
  23. ความผิดต่อชีวิต
  24. นาง-นางสาว เลือกได้มั้ย
  25. โทษทางอาญา ระหว่างสามี-ภรรยา เกี่ยวกับทรัพย์
  26. นกเขาไม่ขันฟ้องหย่าได้หรือไม่


ขอบคุณข้อมูลเพจรู้หมดกฎหมาย
ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com   

1. อยากมีคู่ต้องดูที่อายุด้วย 
หนุ่มสาวหรือวัยรุ่นมักใจร้อนอยากจดทะเบียนสมรสกันเร็วๆ แต่ในทางกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่า ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ จึงจะทำการสมรสกันได้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรก็ขอให้ศาลสั่งให้สามารถสมรสกันได้ ตัวอย่างเช่น นายเอกับนางสาวบี ทั้งคู่อายุ 15 ปี ทั้งสองรักกันมากและต้องการจดทะเบียนสมรสกันแต่ไม่สามารถทำได้เพราะกฎหมายไม่อนุญาต ในทางกลับกัน สมมุติว่านายเอกับนางสาวบีเกิดได้เสียกันและนางสาวบีได้ตั้งท้อง บิดาและมารดาของทั้งสองฝ่ายจึงต้องไปร้องขออนุญาตจากศาลให้ทำการสมรสกันได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

2. การหมั้นคืออะไร 
การหมั้น ในความเข้าใจของประชาชนทั่วไป หมายถึง การจองตัวไว้ก่อนที่จะมีการแต่งงานกัน หรือสมรสกันตามกฎหมาย แต่กฎหมายบัญญัติให้การหมั้นจะมีผลตามกฎหมายได้ การหมั้นนั้นจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปี บริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น หากการหมั้นฝ่าฝืนโดยที่ชายหญิงที่หมั้นกันมีอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปี การหมั้นนั้นตกเป็นโมฆะ และการหมั้นนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองด้วย ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ หรือผู้มีอำนาจปกครองขณะนั้น ส่วนของหมั้นจะต้องมีการส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้หญิงคู่หมั้นขณะที่ทำการหมั้นด้วย โดยฝ่ายชายเป็นผู้ส่งมอบของหมั้นเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น หากส่งมอบให้ภายหลังการหมั้นไม่ถือว่าเป็นของหมั้น ทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1435 มาตรา 1436 และมาตรา 1437 และเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นของหญิงทันที

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

3. การหมั้นสามารถบังคับให้อีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสได้หรือไม่
กรณีเมื่อมีการหมั้นแล้ว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมสมรส อีกฝ่ายหนึ่งจะเรียกร้องให้ทำการสมรสด้วยไม่ได้ เพราะเหตุว่า การสมรสนั้นต้องเป็นการยินยอมที่จะอยู่กินฉันท์สามีภรรยากันด้วยความเต็มใจ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1438 ที่บัญญัติว่า การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ แต่อย่างใดก็ดี ฝ่ายที่ผิดสัญญาไม่ทำการสมรส อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน รวมทั้งหากฝ่ายหญิงผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

4. สินสอด
สินสอด หมายถึง ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 ดังนั้น สินสอดเป็นทรัพย์สิน เช่น เงิน ทองคำ หรืออาจเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ฝ่ายชายให้แก่พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองหรืออาจเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมของฝ่ายหญิง เป็นการตอบแทนที่ให้หญิงนั้นยอมสมรสกับตนเอง แต่เมื่อทำการหมั้นแล้ว หากฝ่ายหญิงไม่ทำการสมรสกับฝ่ายชายโดยผิดสัญญาหรือมีเหตุการณ์หรือพฤติการณ์บางอย่างที่ฝ่ายหญิงต้องรับผิด ทำให้ฝ่ายชายไม่ควรสมรสกับฝ่ายหญิง ฝ่ายชายสามารถเรียกสินสอดคืนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสอง และวรรคสามบัญญัติเอาไว้


ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

5. เงื่อนไขการสมรส
การสมรส กฎหมายกำหนดเงื่อนไขไว้หลายประการ เช่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 บัญญัติไว้ว่า การสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงนั้นมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสได้ ดังนั้น การสมรสจะกระทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีทั้งสองฝ่าย แต่อย่างไรก็ดี หากมีเหตุที่จำเป็นอันสมควร ดังเช่น ชายและหญิงมีความสัมพันธ์กันก่อนมีอายุสิบเจ็ดปี หากหญิงเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา กรณีนี้อาจร้องต่อศาลขอทำการสมรสได้ ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามกฎหมาย

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

6. การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายทำอย่างไร
การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายก็คือ การที่ทั้งชายและหญิงต้องไปจดทะเบียนสมรสกันกับนายทะเบียนและต้องไปเปิดเผยต่อนายทะเบียนด้วยว่าตนยินยอมที่จะเป็นสามีภรรยากัน โดยที่นายทะเบียนต้องบันทึกการยินยอมไว้ด้วยหรือเรียกภาษาชาวบ้านว่า จดทะเบียนสมรส เมื่อกระทำครบถ้วนข้างต้นจึงจะถือว่า การจดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าหากมีการจัดงานแต่งงานเลี้ยงแขกอย่างยิ่งใหญ่แต่ไม่ไปจดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาตามกฎหมายและไม่เกิดสิทธิใดๆ ต่อกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 และมาตรา 1458 (ติดตามโพตส์ต่อไป เรื่องการจดทะเบียนสมรสซ้อน)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

7. การจดทะเบียนสมรสซ้อน
การสมรสซ้อนเป็นกรณีที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่ไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอีกคนหนึ่งทั้งที่ตนเองมีคู่สมรสอยู่แล้ว ถือว่าการสมรสครั้งหลังนี้ตกเป็นโมฆะ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 บัญญัติไว้ว่า ชายหรือหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้ และมาตรา 1495 บัญญัติว่า การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 ตกเป็นโมฆะ อย่างไรก็ดี การที่จะกระทำให้การสมรสครั้งหลังเป็นโมฆะโดยสมบูรณ์เพราะเหตุจดทะเบียนซ้อนนี้กฎหมายระบุให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือมีส่วนได้เสีย เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ที่คู่สมรสของตนไปจดทะเบียนสมรสกับบุคคลอื่น ซึ่งได้รับความเสียหายโดยตรงกล่าวขึ้นอ้างต่อศาลและร้องต่อศาลว่าการสมรสเป็นโมฆะ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

8. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1470 ได้บัญญัติไว้ว่า ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็นสินสมรส ดังนั้น เมื่อชายและหญิงสมรสกัน ซึ่งถือเสมือนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันในการดำรงชีวิต แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายอาจมีทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนมาก่อนที่จะสมรสกัน กฎหมายจึงได้แบ่งแยกทรัพย์สินของสามีภรรยาออกเป็นสองประการ คือ สินส่วนตัวและสินสมรส โดยที่สินส่วนตัวนั้นเป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่ายที่จะดูแลจัดการด้วยตนเอง ส่วนสินสมรสนั้นทั้งสองฝ่ายต้องดูแลและจัดการร่วมกัน

ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา ไม่ว่าเกิดจากฝ่ายสามีกระทำกับภรรยา หรือเกิดจากฝ่ายภรรยากระทำกับสามี เช่น การขโมยเงิน และของมีค่า หรือฉ้อโกงหลอกลวงเงิน แม้กฎหมายถือว่าเป็นความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะกฎหมายมองว่าเป็นเหตุส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 ตัวอย่างเช่น สามีขโมยสร้อยคอทองคำซึ่งเป็นสินส่วนตัวของภรรยาไปขาย แม้สามีจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ แต่กฎหมายก็มีเหตุยกเว้นโทษ เนื่องจากเป็นเหตุ ส่วนตัวที่สามารถยกโทษให้กันได้ เนื่องจากต้องการคุ้มครองความผาสุกของสามีภรรยาในระบบครอบครัวอันเป็นสถาบันพื้นฐานของสังคม แม้กฎหมายจะไม่เอาผิด แต่เรื่องในลักษณะนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นย่อมจะเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากกว่า

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

9. สินสมรสคืออะไร
คำว่าสินสมรส ก็คือทรัพย์สินที่สามีภรรยามีส่วนร่วมกันในทรัพย์สินนั้น การจัดการทรัพย์สินก็ต้องจัดการร่วมกัน ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 บัญญัติไว้ว่า สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน 1. ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส 2. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือที่ระบุว่าเป็นสินสมรส 3. ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว และมาตรา 1474 วรรคสอง ยังบัญญัติต่อไปอีกว่า กรณีที่สงสัยว่าทรัพย์สินเป็นสินสมรสหรือไม่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส ดังนั้น ทรัพย์สินที่จะเป็นสินสมรส ต้องไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีมาก่อนสมรสนั้นเอง คือได้มาระหว่างสมรสอีกประการหนึ่ง กรณีหากฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินส่วนตัว ต่อมามีดอกผลที่เกิดจากการใช้ทรัพย์เหล่านั้น เช่น ฝ่ายหญิงเลี้ยงสุนัขก่อนสมรส ต่อมาฝ่ายหญิงได้ทำการสมรสและสุนัขที่ได้เลี้ยงไว้นั้น ได้ให้กำเนิดลูกสุนัข ส่งผลให้ลูกสุนัขที่เกิดมาเป็นดอกผลที่เกิดขึ้นจากสินส่วนตัว แต่เนื่องจากเกิดขึ้นภายหลังการสมรส ดังนั้น ลูกสุนัขจึงกลายเป็นสินสมรสด้วย อีกกรณีหนึ่งที่เป็นสินสมรสก็คือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ทรัพย์สินมาโดยพินัยกรรมหรือการให้เป็นหนังสือที่ระบุไว้ให้เป็นสินสมรส กรณีทั้งสามประการจึงเป็นสินสมรส ซึ่งสามีและภรรยาจะต้องจัดการดูแลร่วมกันหรือต้องได้รับยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งจึงจะจัดการโดยลำพังได้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 วรรคแรก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 ได้แบ่งประเภทของสินสมรสไว้ 3 ประเภท ดังนี้ (1) ทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส (2) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส และ (3) ทรัพย์สินที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว

ชีวิตคู่เป็นเรื่องของบุคคล 2 คน ที่ต้องแบ่งปันและใช้ชีวิตร่วมกัน แต่หากวันใดไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปก็สามารถตกลงแยกทางกันได้ และสามารถแบ่งหรือโอนทรัพย์สินระหว่างคู่สมรสให้แก่กันได้ รวมทั้งหากมีหนี้สินร่วมกันก็ให้ชำระหนี้นั้นด้วยสินสมรสและสินส่วนตัวของทั้งสองฝ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1489

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

10. การแบ่งสินสมรส
เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 บัญญัติให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงเท่าๆ กัน และมาตรา 1535 ได้บัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดของหญิงชายภายหลังการสมรสสิ้นสุดลงไว้ว่า ให้แบ่งความรับผิดในหนี้ตามส่วนเท่ากันตามบทบัญญัติดังกล่าว สรุปได้ว่าเมื่อการสมรสสิ้นสุดลงให้ชายและหญิงที่หย่ากันแบ่งสินสมรสกันคนละครึ่งในส่วนที่เท่ากัน ส่วนความรับผิดเกี่ยวกับหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างเป็นสามีภรรยากันนั้นก็ต้องรับผิดในส่วนเท่าๆ กันเช่นกัน ยกเว้นหนี้ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างขึ้นเป็นหนี้ส่วนตัวโดยแท้ไม่เกี่ยวกับสินสมรส ทั้งนี้ฝ่ายที่ก่อหนี้ต้องรับผิดเองเป็นการส่วนตัว (โปรดติดตามโพสต์ต่อไป เรื่องสินส่วนตัว)

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

11. สินส่วนตัวคืออะไร
คำว่า สินส่วนตัว ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 ได้กำหนด สินส่วนตัวไว้ดังนี้ 1. ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส 2. เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องแต่งกายตามฐานะเครื่องมือประกอบวิชาชีพ 3. ทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยรับมรดกหรือการให้โดยเสน่หา 4. ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้น อย่างไรก็ดีหากสินส่วนตัว มีการนำไปแลกเปลี่ยนหรือขายหรือซื้อได้มา ซึ่งทรัพย์สินอื่นที่ได้มาแทนนั้น ก็ยังเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นเช่นเดิม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

12. หนี้ต้องรับ ทรัพย์ต้องแบ่ง
เมื่อคู่สมรสที่เคยรักกันต้องสิ้นสุดความสัมพันธ์กันแล้ว นอกจากสินสมรสที่ต้องแบ่งให้เท่าๆ กันแล้ว ในส่วนของหนี้สินที่เกิดมาร่วมกันระหว่างสมรสก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบไปในส่วนเท่าๆ กันด้วย ตัวอย่างเช่น นายสมโชคได้จดทะเบียนหย่าร้างกับนางสมพร โดยทั้งคู่มีเงินสดอยู่ 500,000 บาทที่เป็นสินสมรส ขณะเดียวกันนายสมโชคก็มีหนี้อยู่ 100,000 บาทที่เกิดจากไปกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นค่าใช่จ่ายในการเรียนของลูก ต่อมาเมื่อทั้งคู่หย่าร้างกันจะต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 250,000 บาท ขณะเดียวกันนางสมพรจะต้องช่วยรับผิดชอบหนี้จำนวนดังกล่าวที่นายสมโชคก่อขึ้นระหว่างสมรสจำนวนครึ่งหนึ่ง หรือ 50,000 บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 มาตรา 1535

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

13. การมีบุตรที่พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
การที่ชายและหญิงอยู่กินฉันท์สามีกรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและมีบุตรเกิดขึ้นมา บุตรนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติหลักกฎหมายไว้ว่า เด็กที่เกิดจากหญิงที่มิได้สมรสกับชาย ให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังนั้นการที่หญิงและชายอยู่กินฉันท์สามีภรรยา เมื่อมีบุตรขึ้นมากฎหมายให้ถือว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้น แต่อย่างไรก็ดี เด็กที่เกิดขึ้นมานั้นจะเป็นบุตรโดยชอบของชายได้ก็ต่อเมื่อ ชายและหญิงนั้นสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาจดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร และในกรณีหลังนี้กฎหมายให้มีผลแก่บุตรย้อนไปถึงวันที่บุตรเกิด โดยถือว่าชายนั้นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุตรนับแต่วันที่เด็กเกิด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และมาตรา 1557

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

14. การรับบุตรบุญธรรม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/19 และมาตรา 1598/20 ได้วางกฎเกณฑ์ตามกฎหมายการรับบุตรบุญธรรมไว้ว่า บุคคลที่ต้องการรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมนั้น ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปี และต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อยสิบห้าปี และหากบุตรบุญธรรมอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี ผู้นั้นต้องให้ความยินยอมด้วย นอกจากนี้ หากผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์และมีพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่ ต้องได้รับการยินยอมจากบุคคลเหล่านั้นด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/21 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้รับบุตรบุญธรรมมีคู่สมรส ต้องให้คู่สมรสยินยอมในการรับบุตรบุญธรรมด้วย ตามบทบัญญัติ มาตรา 1598/25 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

15. สิทธิของผู้รับบุตรบุญธรรม
กรณีรับบุตรบุญธรรมนั้น ทำให้ผู้ที่รับบุตรบุญธรรมมีสิทธิเป็นผู้ปกครองแทนบิดามารดาหรือผู้ปกครองเดิมนับแต่รับบุตรบุญธรรม โดยทำหน้าที่อบรมสั่งสอน อุปการะเลี้ยงดู ให้การศึกษา ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลบุตรบุญธรรมเสมือนบุตรที่แท้จริงของตน ตามหน้าที่ เช่นบิดา มารดาทั่วไปพึงกระทำ แต่การเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมไม่ทำให้เกิดสิทธิในการรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมแต่อย่างใด ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/29

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

16. สิทธิขอบบุตรบุญธรรม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/28 ได้กำหนดให้สิทธิผู้ที่เป็นบุตรบุญธรรม ไว้ว่า บุตรบุญธรรมจะมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมกล่าวคือ มีสิทธิเช่นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิได้รับการอุปการะเลี้ยงดูและมีสิทธิได้รับมรดกตกทอดเสมือนทายาทชั้นบุตรของผู้รับบุตรบุญธรรมทุกประการแต่ก็ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวที่ได้กำเนิดมาแต่เดิม เช่น มีสิทธิในการรับมรดกตกทอดจากบิดามารดาทายาทเดิม เพียงแต่อำนาจในการปกครองตกอยู่ในอำนาจของผู้รับบุตรบุญธรรม บิดามารดาหมดอำนาจปกครองนับแต่เด็กตกเป็นบุตรบุญธรรมของผู้รับบุตรบุญธรรม

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

17. การเป็นบุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย
การที่จะเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องและสมบูรณ์ตามกฎหมายนั้น จะต้องนำไปจดทะเบียนและต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ด้วย เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/21 สำหรับกรณีของผู้เยาว์ที่เป็นบุตรบุญธรรมของบุตรคนอื่นอยู่ จะไปขอเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นอีกไม่ได้ ยกเว้นจะเป็นบุตรบุญธรรมของคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมของตนซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/26

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

18. ชื่อสกุลนั้นสำคัญไฉน
ชื่อสกุลหลักการหย่า
กฎหมายไทยในปัจจุบัน เปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยา หรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของใครของมันก่อนจดทะเบียนสมรสก็ได้ อย่างไรก็ดี หากการสมรสดังกล่าวมิได้ราบรื่นอีกต่อไป ต้องจบลงด้วยการเลิกราไม่ว่าจะเป็นเพราะจดทะเบียนหย่าโดยความสมัครใจของทั้งคู่ หย่าตามคำพิพากษาให้เพิกถอนการสมรส เช่น การสมรสโมฆะ เพราะการสมรสซ้อน เหล่านี้ หากคู่สมรสดังกล่าวเคยตกลงที่จะใช้นามสกุลของฝ่ายใดร่วมกันแล้ว เมื่อหย่าร้างหรือศาลเพิกถอนการสมรส ข้อตกลงใช้นามสกุลร่วมกันก็เป็นอันสิ้นสุด และแต่ละฝ่ายก็ต้องเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนจดทะเบียนสมรส

ชื่อสกุลหลังคู่สมรสเสียชีวิต
กฎหมายไทยในปัจจุบันเปิดโอกาสให้คู่สามีภรรยาสามารถเลือกใช้นามสกุลได้อย่างเสรี จะเลือกใช้ของสามี ของภรรยาหรือต่างคนต่างใช้นามสกุลของตนต่อไปก็ได้ อย่างไรก็ดีหากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายเป็นเหตุให้การสมรสดังกล่าวสิ้นสุดลงตัวอย่างเช่น นายสมชาย หอมจับจิตสมรสกับนางสาวสมหญิง หอมสุดใจทั้งคู่ตกลงร่วมกันใช้นามสกุลของสามีสมหญิงจึงเปลี่ยนนามสกุลเป็น หอมจับจิต ตามนามสกุลของสมชาย ต่อมาสมชายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ สมหญิงมีสองทางเลือกคือ จะใช้นามสกุลหอมจับจิตของอดีตสามีต่อไปก็ได้ และใช้ได้ตลอดไปตราบเท่าที่สมหญิงไม่ได้สมรสใหม่ หรือสมหญิงอาจจะเลือกเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนการสมรสก็ได้

ชื่อสกุลของหญิงทีสามี
แต่ก่อนแต่ไรมา พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 กำหนดบังคับไว้ว่า หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น จะใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรสไม่ได้ หรือแม้จะใช้นามสกุลอื่นให้ผิดแผกแตกต่างไปจากนามสกุลที่สามีใช้อยู่ก็ไม่ได้ ทางออก ณ ขณะนั้นก็คือ หญิงมีสามีทั้งหลายเลี่ยงไปใช้นามสกุลเดิมของตนในฐานะที่เป็นชื่อรอง อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2546 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า บทบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อสตรี เพราะจัดให้มีสถานะทางกฎหมายที่ด้อยกว่าสามี เป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างหญิงกับชาย ขัดต่อหลักความเสมอภาค จึงเป็นอันใช้บังคับมิได้ และนับแต่นั้นมา ผู้หญิงก็มีทางเลือกมากขึ้น

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตราที่กำหนดบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดหลักความเสมอภาคระหว่างชายและหญิงคำวินิจฉัยดังกล่าวก็นำมาสู่การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายชื่อบุคคลกันอีกครั้งเมื่อปี 2548 เปลี่ยนแปลงให้สิทธิแก่ทั้งหญิงและชายได้มีทางเลือกมากยิ่งขึ้นดังนี้ไม่ว่าชายหรือหญิงเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้นามสกุลใด อย่างไร ให้เป็นไปตามที่ทั้งคู่เลือกและตกลง ซึ่งก็มีอยู่ 3 ทางเลือก ทางแรก ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนก่อนสมรส ไม่เปลี่ยนแปลง ทางที่สอง เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามีหรือไม่ก็ทางเลือกที่สามคือคู่สมรสทั้งสองฝ่ายเลือกใช้นามสกุลของภรรยา

กฎหมายชื่อบุคคลของไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนับว่าเป็นหนึ่งในกฎหมายที่ก้าวหน้า เพราะว่าให้สิทธิเสรีภาพแก่สตรีเท่าเทียมบุรุษ ในการเลือกใช้นามสกุลภายหลังการสมรส แตกต่างจากเดิมที่บังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้นามสกุลของสามีเท่านั้น แต่กฎหมายปัจจุบัน ให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ว่า จะใช้นามสกุลของฝ่ายใด หรือแม้แต่ ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของตนเองก็ได้ การตกลงของคู่สมรสเพื่อเลือกใช้นามสกุลเช่นนี้ จะตกลงตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อครั้งจดทะเบียนสมรส หรือตกลงกันในภายหลัง และก็อาจเปลี่ยนใจเปลี่ยนข้อตกลงเดิมเมื่อใดก็ได้ เช่น ตอนจดทะเบียนสมรส ทั้งคู่เลือกใช้นามสกุลของสามี แต่ต่อมา ทั้งคู่เปลี่ยนใจเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของภรรยา หรืออาจจะตกลงกันใหม่ต่างฝ่ายต่างใช้นามสกุลเดิมของใครของมันก็ได้

ชื่อสกุลของเด็กในการอุปการะ
เด็กบางคนเกิดมาอาภัพ บ้างทั้งพ่อและแม่ต่างเสียชีวิตทั้งคู่ ไม่มีญาติอุปการะเลี้ยงดู บ้างก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง รัฐจึงมีหน้าที่ตามหลักมนุษยธรรมนำเด็กเหล่านั้นไปอุปการะ ให้การศึกษา ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บางครั้งเด็กเหล่านี้ไม่มีแม้แต่นามสกุล จะสืบเสาะหาญาติพี่น้อง ก็ไม่พบใคร ด้วยเหตุนี้พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 จึงเปิดช่องให้ผู้อุปการะเลี้ยงดูเด็กเจ้าของสถานพยาบาล สถานสงเคราะห์ หรือสถานอุปการะเลี้ยงดูเด็ก สามารถจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลของเด็กที่อยู่ในความอุปการะหรือความดูแลดังกล่าวได้ ในการนี้ อาจตั้งไว้หลายนามสกุลก็ได้และเมื่อใดก็ตาม มีเด็กสัญชาติไทยซึ่งไม่มีนามสกุลเข้ามาอยู่ในความดูแลของสถานที่แห่งนั้น ก็สามารถเลือกกำหนดชื่อสกุลให้แก่เด็กคนนั้นได้

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

19. ความผิดฐานแท้งลูก
การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่น นำไปสู่ปัญหาการตั้งครรภ์และผลเสียต่างๆ ตามมาอย่างมากมาย สิ่งหนึ่งมาจากการรู้เท่าไม่การณ์หรือเพราะความประมาท รวมถึงการขาดการเอาใจใส่จากครอบครัวและการขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา สาเหตุเหล่านี้เป็นปัญหาต้นๆ ที่ต้องรีบแก้ไขและให้ความรู้ความเข้าใจแก่นักเรียน นักศึกษา ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการทำแท้ง เพราะหากหญิงใดทำให้ตนแท้งลูกหรือยอมให้คนอื่นทำให้ตนแท้งลูกถือว่าหญิงนั้นหรือผู้กระทำนั้นได้กระทำผิดฐานทำให้แท้งลูก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 301 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สถานบริการหรือคลินิกที่เปิดให้บริการรับปรึกษาการตั้งครรภ์ ที่ได้จดขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย บางครั้งหลายๆ สถานบริการ ยังเป็นสถานที่ให้บริการรับทำแท้งลูกให้กับหญิงสาวที่ยังไม่พร้อมมีบุตรหรือพลาดพลั้งมีเพศสัมพันธ์กับคนรักแล้วไม่ได้ป้องกันทำให้เกิดการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งกลุ่มหญิงเหล่านี้มักจะหาสถานบริการหรือผู้ให้บริการเถื่อนทำแท้งลูกให้ ซึ่งถือว่าการทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงยินยอมผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 302 ฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นยินยอม ต้องระวางจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การทำแท้งถือเป็นความผิดตามกฎหมายไทย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำแท้งมีมาตลอดทุกยุค ทุกสมัย ซึ่งมีสาเหตุทางสังคมหลายประการ อาทิ ฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ยังไม่ได้สมรส อยู่ในวัยเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังไม่รวมไปถึงการกระทำอันมีผลให้ผู้อื่นแท้งลูกโดยไม่ยินยอม ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 303 วรรค 1 ในฐานความผิดผู้ใดทำให้หญิงแท้งลูกโดยหญิงนั้นไม่ยินยอม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

รู้กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว (ต่อ)

20. ความผิดฐานทอดทิ้งลูก

21. ความรุนแรงในครอบครัว

22. สามีภริยาทำร้ายร่างกายกัน

23. ความผิดต่อชีวิต

24. นาง-นางสาว เลือกได้มั้ย

25. โทษทางอาญา ระหว่างสามี-ภรรยา เกี่ยวกับทรัพย์

26. นกเขาไม่ขันฟ้องหย่าได้หรือไม่  


20. ความผิดฐานทอดทิ้งลูก
บ่อยครั้งที่มีการนำเสนอข่าวเด็กถูกทอดทิ้งตามสถานที่ต่างๆโดยปราศจากผู้ปกครองดูแลอันเนื่องมาจากปัญหาครอบครัวแตกแยก การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ครอบครัวมีฐานะยากจน หรือพ่อ แม่หย่าร้างกัน ซึ่งพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูกตัวเอง นอกจากจะไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบทางศีลธรรมแล้ว ยังถือเป็นความผิดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

จากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อันเป็นผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และอื่นๆ ส่งผลให้บทบาทความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวลดน้อยลง ประกอบกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาแทรกแซงจนบางครอบครัวละเลยขาดการเหลียวแลเอาใจใส่ต่อคนใกล้ชิดหรือบุพการี และมีหลายกรณีที่ทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังในยามเจ็บmป่วย ชรา เป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือคนชรา ว่าด้วยผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้เพราะอายุ ความเจ็บป่วยกายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสีย โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 307 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

***************************************

21. ความรุนแรงในครอบครัว
การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลในครอบครัว รวมทั้งทุกภาคส่วนในสังคมร่วมกันรณรงค์และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว โดยกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัวแม้จะอยู่ในสถานะเป็นสามี ภรรยากันก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มาตรา 4
บางครอบครัวที่มีการทำร้ายร่างกายกันอย่างรุนแรงตามที่นำเสนอทางสื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ จนถึงขั้นฟ้องศาลให้ผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวชดใช้เงินช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เบื้องต้นตามความสมควร หรือร้องขอให้มีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ต่อผู้ถูกกระทำในครอบครัว โดยห้ามผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวเข้าไปในที่พำนักของครอบครัวหรือเข้าใกล้ตัวบุคคลใดในครอบครัว หากผู้กระทำความรุนแรงฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวของเจ้าพนักงาน ถือเป็นความผิดตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พุทธศักราช 2550 มีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสามพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

***************************************

22. สามีภริยาทำร้ายร่างการกัน
การทำร้ายร่างกายของกันและกันระหว่างสามีและภรรยา ถือเป็น “ความรุนแรงในครอบครัว” ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3 หมายความว่า การกระทำใด ๆ โดยมุ่งประสงค์เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะ ที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับหรือใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด โดยมิชอบ แต่ไม่รวมถึงการกระทำโดยประมาท ส่วน“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส คู่สมรสเดิม ผู้ที่อยู่กินหรือเคยอยู่กินฉันสามีภรรยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรส บุตร บุตรบุญธรรม สมาชิกในครอบครัว รวมทั้งบุคคลใดๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน และในมาตรา4 ยังบัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยสรุป คือ กฎหมายห้ามบุคคลใดใช้ความรุนแรงกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งจะมีความผิดฐานกระทำความรุนแรงในครอบครัว จำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยความผิดข้อหานี้สามารถยอมความกันได้และมีอายุความ 3 เดือนนับแต่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวอยู่ในวิสัยและมีโอกาสที่จะแจ้งความหรือร้องทุกข์ได้ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com
……………………………………….

23. ความผิดต่อชีวิต
การทะเลาะวิวาท การมีปากเสียงถึงขั้นตบตี หรือชกต่อยกันด้วยโมหะ โทสะที่ปรากฏในกลุ่มวัยรุ่นหรือครอบครัวทำให้สร้างความเดือดร้อนถึงขั้นบาดเจ็บ หรือส่งผลให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ถือว่าบุคคลนั้นได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ว่าด้วยผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีที่ www.สู้คดี.com

***************************************

24. นาง-นางสาว เลือกได้มั้ย


ในโลกยุคปัจจุบันที่หญิงและชายเท่าเทียมกัน ดังนั้น คำนำหน้าชื่อย่อมเป็นไปด้วยความสมัครใจ เช่น ฝ่ายหญิงเมื่อแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้าว่านางสาวหรือนางก็ได้ ส่วนหญิงที่หย่าร้าง หากเดิมใช้คำนำหน้าว่า “นาง” ก็สามารถกลับมาใช้ “นางสาว” ได้เช่นกัน ส่วนชายไทย ไม่ว่าแต่งหรือไม่แต่ง หรือหย่าร้าง ก็ยังคงใช้คำนำหน้าว่า “นาย” เท่านั้น
ซึ่งเป็นตามพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 มาตรา 4 ที่กำหนดให้หญิงที่อายุ 15 ปีขึ้นไป และยังไม่ได้สมรส ให้ใช้คำนำหน้านามว่า “นางสาว”มาตรา 5 หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้วจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจ โดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว
มาตรา 6 หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว ต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงจะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้ตามความสมัครใจโดยให้แจ้งต่อนายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการจดทะเบียนครอบครัว

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

25. โทษทางอาญา ระหว่างสามี-ภรรยา เกี่ยวกับทรัพย์  
ปัญหาสามีขโมยเงินภรรยา ถือเป็นเรื่องปกติของบางครอบครัว แต่ทราบหรือไม่ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 บัญญัติความผิดฐานลักทรัพย์ไว้ว่า ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท
แต่ในมาตรา 71 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 334 ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภรรยาหรือภรรยากระทำต่อสามี ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ
จากข้อกฎหมายตามที่กล่าวมาข้างต้น ความผิดที่ได้รับการยกเว้นโทษ ตามมาตรา 71 วรรคหนึ่ง นั้น ต้องเป็นลักษณะ ดังนี้ 1) ต้องเป็นสามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน 2) ทรัพย์ที่ถูกขโมยต้องเป็นทรัพย์ระหว่างสามีหรือภรรยาเท่านั้น ไม่มีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3) การยกเว้นโทษต้องเป็นกรณีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์เฉพาะที่ไม่มีการข่มขู่หรือใช้กำลังประทุษร้ายและต้องไม่เกิดอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
สรุปง่ายๆ คือ สามี ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกงทรัพย์ระหว่างกันเองมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายดังที่กล่าวไปข้างต้น

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

**************************************
26. นกเขาไม่ขันฟ้องหย่าได้หรือไม่
สภาพสังคมในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายๆ ท่าน มีภาวะเครียด ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และไม่ออกกำลังกาย โดยเฉพาะผู้ชายอันจะนำไปสู่การมีสุขภาพย่ำแย่ ทั้งสุขภาพกายใจ และอาจลามไปถึงปัญหาครอบครัว เพราะหากคุณผู้ชายหย่อนสมรรถภาพอาจนำไปสู่การหย่าร้างได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1516 (10) บัญญัติไว้ว่า สามีหรือภรรยามีสภาพแห่งกายทำให้สามีหรือภรรยานั้น ไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ดังนั้น จึงควรดูแลสุขภาพเพื่อพลานามัยที่สมบูรณ์

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************

4. รู้กฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน

เรื่อง ที่ดิน

◦ 1. มีที่ดิน ไม่ดูแล เจ้าของแท้ก็หมดสิทธิ
◦ 2. วิธีแก้ปัญหา ซื้อที่ดินตาบอด
◦ 3. กรรมสิทธิ์คืออะไร
◦ 4. การครอบครอบปรปักษ์ที่ดิน
◦ 5. ที่ดินตาบอด
◦ 6. สิทธิของการซื้อทรัพย์โดนสุจริตในท้องตลาด
◦ 7. การสร้างที่อยู่อาศัยที่ที่ดินของคนอื่นโดยไม่สุจริต
◦ 8. บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่บนที่ดิน
◦ 9. ความหมายของคำว่า ทรัพย์หรือทรัพย์สิน
◦ 10. สีของพญาครุฑ บอกอะไร
◦ 11. เจ้าหนี้เงินกู้ยึดโฉนดไว้ เอาคืนได้มั้ย
◦ 12. ซื้อที่ดิน สปก.
◦ 13. ขายฝากอย่างไรไม่เสียเปรียบ
◦ 14. หมุดเขตเดินได้
◦ 15. จำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com

***************************

1. มีที่ดิน ไม่ดูแล เจ้าของแท้ก็หมดสิทธิเจ้าของที่ดินจำนวนมากอาจไม่รู้ว่ามีที่ดินอยู่ตรงไหนบ้าง หรือไม่ดูแล และปล่อยทิ้งร้างมานาน หากภายหลังปรากฏว่ามีคนเข้ามาครอบครอง อย่างสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ติดต่อกันนานถึง 10 ปี โดยที่เจ้าของที่ดินเดิม ไม่เคยเข้ามาป้องกันหรือขัดขวาง ที่ดินดังกล่าวก็จะตกเป็นของบุคคลอื่นที่เข้ามา ครอบครอง หรือตามที่รู้จักกันว่าการครอบครองแบบปรปักษ์ เป็นไปตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382เพราะฉะนั้นมีที่ดินต้องดูแล ไม่เช่นนั้นถึงเป็นเจ้าของที่ดินแท้ๆ ก็หมดสิทธิ โดยไม่รู้ตัวได้
ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
***************************
2. วิธีแก้ปัญหา ซื้อที่ดินตาบอดหลายคนอาจจะประสบปัญหาว่าที่ดินที่ตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ ถูกล้อมด้วยที่ดินแปลงอื่นอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้หรือมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ไม่สะดวก เช่น จะต้องข้ามบึง แม่น้ำ ทะเล หรือที่ลาดชัน โดยระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากหากเจอกับกรณีนี้ เจ้าของที่ดินตาบอด สามารถขอสิทธิเปิดทางจำเป็น ผ่านที่ดินแปลงอื่นซึ่ งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ และอาจต้องใช้ค่าทดแทน แก่เจ้าของที่ดินที่ผ่านด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************

3. กรรมสิทธิ์คืออะไรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ได้ให้สิทธิแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ซึ่งมีสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนเองในการจำหน่ายได้รับดอกผล ติดตามเอาคืนทรัพย์สินนั้นจากบุคคลอื่นที่ไม่มีสิทธิจะยึดถือเอาไว้รวมทั้งขัดขวางมิให้ผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามเจ้าของทรัพย์สินนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเช่นเดียวกัน เพราะการเป็นเจ้ากรรมสิทธิ์นั้น ในบางกรณีก็ต้องตกอยู่ในข้อจำกัดสิทธ์ของกฎหมาย และในบางกรณีก็ต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นในการใช้สิทธิ์ในทรัพย์สินของตนด้วย

ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

*****************************

4. การครอบครอบปรปักษ์ที่ดินตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี สำหรับสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปี บุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์โดยปกติมักเข้าใจว่าการครอบครองปรปักษ์มีได้เฉพาะที่ดินเท่านั้น แต่ในความจริงการครอบครองปรปักษ์นั้น มีได้ทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ แต่ต่างกันเฉพาะระยะเวลาการครอบครอง เหตุที่กฎหมายบัญญัติเช่นนี้ ก็เพราะกฎหมายมีความประสงค์ที่จะให้เจ้าของทรัพย์ เช่น ผู้มีที่ดิน มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาทำประโยชน์เกี่ยวกับทรัพย์ของตน มิใช่ปล่อยปะละเลยไม่ดูแลทำประโยชน์ หากมีผู้อื่นเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผยและแสดงความเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาตามที่กฎหมายกำหนดบุคคลที่ครอบครองนั้น ก็จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นซึ่งเป็นการได้มาโดยผลแห่งกฎหมาย ดังนั้นผู้ที่มีทรัพย์จะต้องหมั่นดูแลทรัพย์สินของตน รวมทั้งทำประโยชน์ตามสมควรด้วยมิฉะนั้นท่านอาจเสียสิทธิ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวได้

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***********************

5. ที่ดินตาบอดที่ดินตาบอด เป็นภาษาที่นิยมพูดกัน กล่าวคือ เป็นที่ดินของบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ถูกล้อมรอบด้วยที่ดินแปลงอื่นของเจ้าของอื่นจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งกฎหมายได้ให้สิทธิ์ผู้ที่มีที่ดินที่ถูกล้อมรอบนั้น มีสิทธิ์ผ่านที่ดินที่ถูกล้อมรอบออกสู่ทางสาธารณะได้ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 อย่างไรก็ตามการใช้ทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น กฎหมายก็ให้เจ้าของที่ดินที่ใช้ทางนั้น จะต้องทำให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมรอบนั้นให้น้อยที่สุด และใช้ได้เท่าที่จำเป็น หากบางกรณีเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมรอบเมื่อใช้ทางแล้ว อาจจะต้องจ่ายค่าทดแทนเพื่อความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมรอบด้วยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงร่วมกัน

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************

6. สิทธิของการซื้อทรัพย์โดนสุจริตในท้องตลาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 ได้ให้การคุ้มครองบุคคลที่ซื้อทรัพย์สินมาจากการขายทอดตลาด หรือซื้อทรัพย์สินจากท้องตลาดจากพ่อค้าที่ขายทรัพย์สินนั้นโดยสุจริต อาทิ ซื้อรถจากแหล่งขายรถที่ประกอบกิจการเป็นประจำโดยถูกต้องตามกฎหมาย เป็นต้น ในกรณีนี้ผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไม่ต้องคืนทรัพย์สินให้แก่บุคคลที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง ยกเว้นบุคคลที่เป็นเจ้าของนั้นจะยอมชดใช้ราคาที่ซื้อมา

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

************************

7. การสร้างที่อยู่อาศัยที่ที่ดินของคนอื่นโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุคคลอื่นโดยไม่สุจริต บุคคลนั้นจะต้องทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของที่ดิน เว้นแต่เจ้าของที่ดิน จะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ แต่เจ้าของที่ดินจะต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะการสร้างโรงเรือนแล้วแต่จะเลือก ก็สามารถจะอธิบายได้ว่า หากไปสร้างโรงเรือน เช่น ไปสร้างบ้านในที่ดินของคนอื่น โดยรู้อยู่แล้วไม่ใช่ที่ดินของเรา เมื่อเจ้าของที่ดินเขารู้ในภายหลังเจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ที่จะสั่งให้บุคคลที่ไปสร้างโรงเรือน รื้อถอนโรงเรือนที่ปลูกสร้างแล้วทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพดังเดิม แต่หากว่าเจ้าของที่ดินต้องการให้โรงเรือนที่สร้างอยู่ในสภาพเดิม เจ้าของที่ดินจะต้องชดใช้เงินในส่วนราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น เพราะการสร้างโรงเรือน ก็คือ เดิมราคาที่ดินหนึ่งล้านบาท เมื่อสร้างโรงเรือนในที่ดิน ที่ดินพร้อมโรงเรือนมีราคาหนึ่งล้านห้าแสนบาท เจ้าของที่ดินจะต้องใช้ราคาโรงเรือนนั้นในราคาห้าแสนบาท หากต้องการโรงเรือนให้คงอยู่ในที่ดิน สิทธิดังกล่าว แล้วแต่เจ้าของที่ดินจะเลือก ผู้ที่ไปสร้างโรงเรือนไม่มีสิทธิ์

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

******************************

8. บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดินบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนที่ดิน โดยปกติจะต้องเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 144 โดยสภาพของบ้านถือเป็นจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น และเป็นสาระสำคัญแห่งทรัพย์นั้น แต่ก็มีข้อยกเว้นตามมาตรา146 บ้านหรือสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวหรือเจ้าของที่ดินอนุญาตให้ปลูกสร้างได้ ไม่ถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น แต่ถ้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินของคนอื่นโดยเจ้าของไม่ยินยอม บ้านนั้นถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินและเป็นสิทธิของเจ้าของที่ดินนั้นได้และอาจจะถือว่าเป็นการบุกรุกที่ดินของคนอื่นอีกกรณีหนึ่งด้วยหมวดกฎหมายว่าด้วยทรัพย์และทรัพย์สิน

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************

9. ความหมายของคำว่าทรัพย์หรือทรัพย์สินเกิดเป็นมนุษย์ก็อยากมีทรัพย์หรือทรัพย์สินกันทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจคำว่าทรัพย์และทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 บัญญัติหลักว่า ทรัพย์ หมายถึง วัตถุที่มีรูปร่าง และมาตรา 138 ให้ความหมายว่า ทรัพย์สิน ก็คือ ทรัพย์ที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและอาจเข้าถือเอาได้สรุปความหมายได้ว่า ทรัพย์สิน ก็คือ สิ่งที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างที่มนุษย์เข้ายึดถืออย่างเป็นเจ้าของซึ่งอาจมีราคาได้ เช่น ที่ดิน รถยนต์ ดินสอ ปากกา เป็นต้น สำหรับส่วนที่ไม่สามารถเข้ายึดถือได้ เช่น แสงแดด สายลม แม้จะมีคุณค่ามากมาย แต่ยังไม่ถือว่าเป็นทรัพย์หรือทรัพย์สินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งหากมนุษย์รู้จักดัดแปลงแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานแล้วจัดเก็บพลังงานไว้ใช้ถือว่าเข้าครอบครองตัวพลังงานนั้น ตัวพลังงานดังกล่าวก็เป็นทรัพย์สินที่มีราคาและถือว่ามีเจ้าของเช่นกัน

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

***************************

  10. สีของพญาครุฑ บอกอะไร  
เรื่องใกล้ตัวบางครั้งเราก็มองข้าม เฉกเช่น ครุฑบนเอกสารบนที่ดินที่มีอยู่ติดบ้าน โดยมีทั้งครุฑสีแดงครุฑสีเขียว และครุฑสีดำ ซึ่งครุฑแต่ละสีสื่อความหมายต่างกันในทางกฎหมาย ดังนี้
1) ครุฑสีแดง หมายถึง โฉนดที่ดิน (น.ส.4) ซึ่งสามารถซื้อ - ขาย - โอนได้ตามกฎหมาย ยกเว้น โฉนดหลังแดง ซึ่งจะมีข้อความระบุด้านหลัง ว่า “ห้ามโอน” ภายใน 5 - 10ปี
2) ครุฑสีเขียว หมายถึง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งออกให้ในท้องที่ที่มีระวางภาพถ่ายทางอากาศ
3) ครุฑสีดำ หมายถึง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 และ น.ส.3 ข.) ซึ่งไม่มีระวางภาพถ่ายทางอากาศ
เมื่อทราบแล้ว รีบไปดูโฉนดของที่ดินบ้านท่านว่าเป็นครุฑสีอะไร เพราะแสดงออกว่าท่านมีสิทธิมากน้อยเพียงใดในผืนดินเหล่านั้น

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************

11. เจ้าหนี้เงินกู้ยึดโฉนดไว้ เอาคืนได้มั้ยการทำสัญญากู้ยืมเงินที่มีการทำหนังสือสัญญาลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ให้ยืมและผู้ยืม ซึ่งหนังสือสัญญานี้จะเขียนใส่กระดาษธรรมดาก็ไม่มีปัญหาประการใด และหากเจ้าหนี้นำเอาที่ดินของลูกหนี้มาจดจำนอง ซึ่งถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดก็สามารถยึดที่ดินแทนการชำระหนี้ได้ แต่หากลูกหนี้นำเอาแต่โฉนดที่ดินมาให้เจ้าหนี้ยึดไว้เท่านั้น กรณีนี้หากเจ้าหนี้ทำเพียงหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน และรับโฉนดที่ดินไว้แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะมีผลเท่าเป็นการ “จำนำโฉนด” ซึ่งเป็นเพียงเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของลูกหนี้เท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการ “จำนอง” ซึ่งลูกหนี้อาจไปขอออกโฉนดใหม่ได้และโฉนดที่ดินไม่ได้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจใดๆ ที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ ดังนั้น อย่าลืมนำโฉนดไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิเช่นนั้นจะเป็นเพียง “จำนำโฉนด” นั่นเอง เพราะโฉนดที่ดิน คือ กระดาษ ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์อันจะจำนองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 714 ที่บัญญัติให้การจำนองอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************

12. ซื้อที่ดิน สปก.ที่ดิน สปก. เป็นที่ดินที่รัฐยกให้เกษตรกรเพื่อใช้เป็นที่ดินทำกิน ไม่สามารถซื้อขายได้ แต่เป็นมรดกตกทอดได้ แต่สภาพความเป็นจริงที่ดิน สปก. หลายๆ พื้นที่มีการแอบซื้อขายกัน ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 มาตรา 39 ระบุว่า ที่ดินที่บุคคลได้รับสิทธิโดยการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จะ ทำการแบ่งแยก หรือโอนสิทธิในที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นมิได้ เว้นแต่เป็นการตกทอดทางมรดกแก่ทายาทโดยธรรมหรือโอนไปยังสถาบันเกษตรกร หรือ ส.ป.ก. เพื่อประโยชน์ในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทั้งนี้ ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงภายในเขตปฎิรูปที่ดิน และหากมีการซื้อ - ขายที่ดิน สปก. ถือเป็นการกระทำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 ซึ่งจะทำให้การซื้อขายนั้นเป็นโมฆะ อีกทั้งมาตรา 411 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ยังกำหนดผลต่อไปว่า ผู้ซื้อไม่อาจเรียกเงินคืนได้จากการชำระหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

13. ขายฝากที่ดินอย่างไร (ผู้ขาย) ไม่เสียเปรียบกฎหมายขายฝากมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเมื่อปี 2562 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญา เพื่อไม่ให้เอาเปรียบซึ่งกันและกันครับ เหตุที่มีการแก้กฎหมายเพราะมีข้อพิพาทขึ้นสู้ศาลเยอะซึ่งศาลก็จะพิจารณาและพิพากษาตามตัวบทกฎหมาย แต่เมื่อเห็นว่าเป็นปัญหาของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สส.ก็จะนำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเข้าสู้สภาผู้แทน ผ่านกระบวนการต่างจนมีการแก้ไขเป็น พรบ.คุ้มครองประชาชนในการทำสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อการเกษตรหรือที่อยู่อาศัย พศ.2562 สรุปได้ใจความตามนี้
• สัญญาขายฝากต้องมีระยะเวลาไถ่ถอน 1-10 ปี
• ผู้ขายฝากสามารถใช้ประโยชน์หรืออยู่ได้ถึงวันสิ้นสุดการไถ่
• การขยายเวลาไถ่ถอนต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
• หากผู้ซื้อฝากงอแงไม่ยอมให้ไถ่ถอน ให้ผู้ขายฝากเอาเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์หรือสำนักงานที่ดินทั่วประเทศ
• ขยายเวลาไถ่ถอนอัตโนมัติ ถ้าผู้ซื้อฝากไม่ส่งหนังสือแจ้งเป็นไปรษณีย์ตอบรับถึงการไถ่ถอนก่อนวันสิ้นสุดการไถ่ถอนไม่น้อยกว่า 3 เดือน แต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน
• ไถ่ถอนหรือวางเงินแล้วให้ถือว่ากรรมสิทธิ์โอนกลับมาเป็นของผู้ขายฝากทันที ต้องไถ่ถอนภายในกำหนดระยะเวลาเท่านั้น
• ไถ่ถอนเกินเวลาแต่อยู่ภายใน 6 เดือน ให้ผู้ขายฝากรับรองว่าผู้ซื้อฝากมิได้ทำหนังสือแจ้งผู้ขายฝากเรื่องวันครบกำหนดมาจดทะเบียนไถ่ถอนด้วย

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

14. หมุดเขตเดินได้“อสังหาริมทรัพย์" ตามความเข้าใจของหลายท่าน หมายถึง ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ซึ่งตามความหมายนั้นถูกต้องอย่างแน่แท้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ดินนั้น มักจะยืดได้ ขยายได้หรือเล็กลงได้ อันมาจากสาเหตุ “หมุดที่ดินเดินได้” จากบุคคลบางกลุ่มที่เคลื่อนย้าย ทำลาย หรือแม้กระทั่งถอนจนนำมาสู่การทะเลาะเบาะแว้งและคดีความต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนี้ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 67 และมาตรา 109 ได้กำหนดข้อห้ามไม่ให้ผู้ใดนอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำลายดัดแปลง เคลื่อนย้าย ถอดถอนหลักหมายเขต หรือหมุดหลักฐานเพื่อการแผนที่นั้นไปจากที่เดิม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

***************************************

15. จำนองที่ดินเป็นหลักประกันหนี้
ในกรณีที่มีการให้ยืมเงินเป็นจำนวนมากในระดับร้อยล้านหรือพันล้าน การจะนำทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น แหวน นาฬิกา คงมีมูลค่าไม่พอชำระหนี้ ทั้งนี้ ในการให้กู้ยืมเงินในจำนวนมากนั้น นอกจากจะต้องมีหนังสือสัญญากู้ยืมเงินแล้ว ยังต้องให้ลูกหนี้นำเอาอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินมาจำนองประกันหนี้ โดยต้องนำโฉนดไปจดทะเบียนจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อำเภอ หรือสำนักงานที่ดิน เมื่อมีที่ดินของลูกหนี้มาเป็นหลักประกันแล้ว เจ้าหนี้ก็สามารถเบาใจได้ว่าหนี้จะไม่สูญเปล่า การจำนองคือ หลักประกันหนี้ชั้นเยี่ยม ต่อให้ลูกหนี้ขายที่ดินที่จำนอง เจ้าหนี้ก็ตามไปบังคับยึดมาชำระหนี้ได้ และที่ดินคือทรัพย์สินที่มีแต่ราคาจะเพิ่มขึ้น เหตุนี้ท่านจึงกลายเป็นเจ้าหนี้ชั้นเยี่ยม มั่นคง ปลอดภัยที่สุดทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 ที่บัญญัติไว้ว่า การจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานองและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 714 ที่บัญญัติให้การจำนองอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************  

5. รู้กฎหมายเกี่ยวกับมรดก

เรื่อง มรดก

  1. มรดกคืออะไร
  2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน
  3. รู้จักผู้สืบสันดาน
  4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดก
  5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร
  6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่
  7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่
  8. ลำดับทายาทโดยชอบธรรมที่จะมีสิทธิรับมรดก
  9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร
  10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง
  11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทต้องทำอย่างไร
  12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา
  13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมรดกหรือไม่
  14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน
  15. สัญญาเช่า เป็นมรดกตกทอดหรือไม่
  16. พินัยกรรม แก้ทุกปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์มรดก
  17. ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดก ทายาททำอย่างไรดี

    ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
    ***************************************

    1. มรดกคืออะไร
    คำว่า มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนตาย รวมถึงสิทธิและหน้าที่ความรับผิดต่างๆ เว้นแต่โดยสภาพตามกฎหมายเป็นเฉพาะตัวตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 และทรัพย์สินรวมทั้งสิทธิและหน้าที่ความรับผิดที่เป็นมรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อบุคคลผู้นั้นถึงแก่ความตาย ตามบทบัญญัติของมาตรา 1599 การตกทอดมรดกในทรัพย์สินนั้นตกทอดทันทีที่เจ้ามรดกเสียชีวิต ซึ่งเป็นผลของกฎหมาย อย่างไรก็ดี แม้ว่าทรัพย์มรดกเกี่ยวกับหนี้สินของผู้ตายจะมีมากเท่าใด ความรับผิดชอบในหนี้สินแม้จะตกแก่ทายาท แต่ทายาทที่รับมรดกก็ไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้นั้นเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนได้รับ เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1601 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    2. มรดกเล็กใหญ่ ใครมีสิทธิก่อน
    ปัญหาเรื่องมรดกกลายเป็นต้นเหตุให้ผู้คนเกิดการแก่งแย่งกันมามากมายแล้ว หากเจ้าของมรดกทำพินัยกรรมเอาไว้เรียบร้อยก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้ ลูกหลานจะทำอย่างไรกันดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 มาตรา 1630 และ มาตรา 1631 กำหนดให้ทายาทที่จะได้รับมีมรดกเพียง 6 ลำดับ คือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4. พี่น้อง ร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน 5. ปู่ ย่า ตา ยาย และ 6. ลุง ป้า น้า อา โดยส่วนใหญ่ทายาทชั้นที่ชิดสนิทที่สุดของเจ้ามรดกเท่านั้นคือ 1. ผู้สืบสันดาน (ลูกเจ้าของมรดก) 2. บิดามารดาจะได้รับมรดกก่อน และกฎหมายยกเว้นให้ทั้งสองลำดับดังกล่าวอยู่ในลำดับเดียวกัน หากทายาท 2 ลำดับแรก คือ ผู้สืบสันดานและบิดามารดาไม่มีชีวิตอยู่ทั้งหมด ทายาทลำดับ 3 ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันของเจ้ามรดกอยู่ก็จะได้รับทรัพย์สินไป โดยทายาทที่อยู่ในลำดับที่ 4 ถึง 6 ก็จะไม่มีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกได้ รู้ลำดับชั้นของกฎหมายกันแล้ว ญาติพี่น้องจะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะ แย่งสมบัติกันให้เจ้าของมรดกนอนตายตาไม่หลับ

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    3. รู้จักผู้สืบสันดาน
    เวลาที่เราอ่านหนังสือกฎหมายเรื่องเกี่ยวกับมรดกมักจะพบคำว่า “ผู้สืบสันดาน” ทำให้เกิดความสงสัยว่าหมายถึงใคร ทั้งนี้ตามกฎหมายระบุไว้ว่า ผู้สืบสันดาน หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา ได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ ลื่อก็คือ คนที่สืบต่อจากเหลนลงมา เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) นอกจากนี้ในกลุ่มของผู้สืบสันดานยังสามารถแบ่งประเภทของบุตรที่จะมีสิทธิได้รับมรดกในลำดับชั้นเดียวกัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1627 ประกอบด้วย 1. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรที่เกิดจากบิดาที่จดทะเบียนสมรส 2. บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองหรือบุตรที่เกิดจากบิดามารดาที่อยู่กินกัน ฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสแต่ต่อมาบิดาได้รับรอง เช่น การแจ้งเกิด การให้ใช้นามสกุล การส่งเสียเลี้ยงดู หรือการแสดงเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเป็น บุตรของตน 3. บุตรบุญธรรมหรือการรับลูกคนอื่นมาเลี้ยงเสมือนเป็นลูกของตัวเอง โดยต้องจดทะเบียนตามกฎหมาย เข้าใจภาษามรดกแล้ว คราวนี้การศึกษาหรือการแบ่งทรัพย์สินก็ทำได้ไม่ยากอีกต่อไป

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    4. ทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิได้รับมรดก
    การที่ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกนั้น เจ้ามรดกจะต้องไม่ทำพินัยกรรมยกให้บุคคลอื่นไว้ เพราะหากทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์มรดกนั้นจะต้องตกเป็นของผู้รับพินัยกรรมแต่เพียงผู้เดียว ทายาทโดยธรรมจะได้รับมรดกก็ต่อเมื่อทรัพย์มรดกนั้นไม่ได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ลำดับที่ 1 ถึง 6 จึงจะมีสิทธิได้รับมรดกและต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติการจัดแบ่งทรัพย์มรดกด้วย

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    5. หากเจ้ามรดกมีคู่สมรสแล้วถึงแก่ความตายการแบ่งมรดกทำอย่างไร
    การที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายขณะที่มีคู่สมรส หากทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรส จะต้องจัดแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเสียก่อน โดยถือว่า หนึ่งส่วนเป็นของคู่สมรสแต่ผู้เดียว และอีกส่วนหนึ่ง เป็นทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ทายาท ซึ่งจะต้องนำมาจัดแบ่งตามลำดับของประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 1629

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    6. บุตรนอกกฎหมาย บุตรบุญธรรม มีสิทธิรับมรดกหรือไม่
    ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ได้บัญญัติไว้ว่าบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรม ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเป็นบุตรที่เกิดจากชายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับหญิง จะมีสิทธิได้รับมรดกของชายได้ ก็ต่อเมื่อผู้เป็นบิดาได้รับรองว่าเป็นบุตร ซึ่งการรับรองบุตรดังกล่าว อาทิ การส่งเสียเลี้ยงดู ให้ใช้นามสกุล เมื่อแรกคลอดระบุว่าเป็นบิดา โดยที่มีบุคคลทั่วไปรับรู้ เหตุดังกล่าวถือว่า บิดาได้รับรองแล้ว บุตรผู้นั้นจึงมีสิทธิได้รับมรดกเสมือนเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) เช่นเดียวกับบุตรบุญธรรมซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกจากผู้รับบุตรบุญธรรม โดยกฎหมายให้ถือว่า เป็นผู้สืบสันดานที่มีสิทธิได้รับมรดก เสมือนกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    7. การเป็นทายาทที่มีสิทธิรับมรดกเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่
    การที่บุคคลใดจะมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาท บุคคลนั้นจะต้องมีสภาพเป็นบุคคลตามกฎหมายด้วย ซึ่งสภาพบุคคลย่อมเริ่มต้นตั้งแต่คลอดจากครรภ์มารดาและอยู่รอดเป็นทารก และทารกในครรภ์มารดา ก็สามารถมีสิทธิต่างๆ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดมาเป็นทารก ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 ประกอบมาตรา 15 ดังนั้น ทายาทจะมีสิทธิรับมรดกต้องมีสภาพบุคคลตามบทบัญญัติดังกล่าวอย่างไรก็ดี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1604 วรรคสองได้กำหนดไว้ว่า การที่ชายและหญิงจดทะเบียนสมรสกัน และหญิงตั้งครรภ์ก่อนที่จะคลอดบุตร ต่อมาชายเจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปก่อนหากหญิงคลอดบุตรภายในสามร้อยสิบวันนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายให้ถือว่าทารกที่เกิดมาเป็นทายาทของชายผู้นั้นและมีสิทธิได้รับมรดกด้วย

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    8. ลำดับทายาทที่จะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนและหลัง
    ทายาทโดยธรรมจะมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหรือหลัง เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ดังนี้ 1. ผู้สืบสันดาน เช่น ลูก หลาน เหลน ลื้อ 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา ทั้งนี้กฎหมายกำหนดให้ทายาทโดยธรรมที่มีลำดับต้นๆ มีสิทธิได้รับมรดกก่อนลำดับหลังทายาทที่มีลำดับถัดมาจะไม่มีสิทธิได้รับมรดกเลย ถ้ายังมีทายาทโดยธรรมลำดับก่อนตนเป็นไปตามมาตรา 1630 วรรคแรก อย่างไรก็ดี กฎหมายมีข้อยกเว้นไว้ว่า กรณีที่คู่สมรสและบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้มีสิทธิได้รับมรดกเท่ากับทายาทชั้นบุตรหรือผู้สืบสันดาน ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 (1) และมาตรา 1630 วรรคที่สอง นอกจากนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 1631 กำหนดไว้ว่า ในระหว่างผู้สืบสันดานต่างชั้นกัน บุตรของเจ้ามรดกอันอยู่ในลำดับชั้นสนิทเท่านั้นมีสิทธิได้รับมรดก ผู้สืบสันดานชั้นถัดไปจะรับมรดกก็ได้แต่ต้องอาศัยสิทธิในการรับมรดกแทนที่ กรณีดังกล่าวหมายถึงผู้สืบสันดานซึ่งเป็นทายาทเจ้ามรดกลำดับที่ 1 เช่น เจ้ามรดกมีลูกและหลาน ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานเช่นกัน ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกก่อนคือ ลูกของเจ้ามรดกซึ่งถือเป็นชั้นสนิทที่สุด สำหรับหลานจะได้มรดกนั้นต้องเป็นการรับมรดกแทนที่เท่านั้น 

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    9. ทายาทของกองมรดกที่มีสิทธิได้รับมรดกนั้นอย่างไร
    ทายาทที่มีสิทธิ์ได้รับมรดกมี 2 ประเภท คือ 1. ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า ทายาทโดยธรรม และ 2. ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า ผู้รับพินัยกรรม ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1603 ทายาทโดยธรรมนั้น กฎหมายได้ลำดับทายาทไว้ก่อนหลังตามบทบัญญัติ มาตรา 1629 ซึ่งได้แก่ 1. ผู้สืบสันดาน 2. บิดามารดา 3. พี่น้องร่วมบิดามารดา 4. พี่น้องร่วมแต่บิดาหรือมารดา 5. ปู่ย่า ตายาย 6. ลุงป้า น้าอา นอกจากนี้ คู่สมรสก็ถือเป็นทายาทโดยธรรม ตามบทบัญญัติมาตรา 1635 ซึ่งมีสิทธิเทียบเท่าทายาทลำดับที่ 1 คือ ผู้สืบสันดานหรือเทียบเท่าชั้นบุตรนั่นเอง (ติดตามโพสต์ต่อไป

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    10. มรดกเป็นปืน ให้ระวัง
    การได้รับมรดกจากพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ที่ดิน เงินทอง ฯลฯ สินทรัพย์เหล่านี้ผู้เป็นลูกหลานย่อมยินดีจะรับไว้และเต็มใจที่จะดำเนินการเพื่อ ครอบครอง แต่ถ้าหากมรดกนั้นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย เช่น พวกอาวุธปืน ควรจะต้องทำอย่างไร แม้ว่าผู้รับจะอยากได้หรือไม่ก็ตาม แต่ผู้รับมรดกมีหน้าที่ที่จะต้องไปดำเนินการ ตามกฎหมาย คือแจ้งต่อนายทะเบียนภายในท้องที่ภายใน 30 วันว่าผู้ครอบครอง เดิมนั้นเสียชีวิตแล้ว และขอใบอนุญาตใหม่สำหรับตนเองเพื่อครอบครองอาวุธปืน เป็นไปตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 64 วรรคแรก หากไม่ทำหรือละเลย ปล่อยทิ้งเอาไว้ ก็อาจกลายเป็นการครอบครองอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามมาตรา 83 ปรับไม่เกิน 1,000 บาท

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    11. มรดกของพระต้องทำอย่างไร ทายาทถึงจะได้
    หากในระหว่างบวชเป็นพระสงฆ์มีญาติโยมมอบเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ให้ใช้ และปรากฎว่าต่อมาภิกษุรูปนั้นเกิดมรณภาพ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1623 กำหนดว่า ทรัพย์สมบัติดังกล่าวต้องตกเป็นของวัด ที่จำพรรษาอยู่ ดังนั้น ทายาทจะมาร้องขอส่วนแบ่งจากวัดไม่ได้ ยกเว้นแต่ ระหว่างท่านยังมีชีวิตอยู่ได้มอบทรัพย์สินเงินทองให้ใคร หรือทำพินัยกรรมเอาไว้ให้บุคคลอื่นได้ เพราะทรัพย์ดังกล่าวเป็นของท่านที่จะมอบให้ใครก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น พระมนัสได้ทำพินัยกรรมมอบรถยนต์ให้แก่น้องชายตัวเองเอาไว้ ต่อมาเมื่อพระมนัสมรณภาพ รถยนต์คันดังกล่าวก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของน้องชาย โดยที่วัดไม่มีสิทธิ์ยึดครองเอาไว้ ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ที่มิได้ทำพินัยกรรมไว้ย่อมตกเป็นของวัด โดยที่ญาติของพระมนัสจะมาเรียกร้องไม่ได้เช่นกัน

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
    ***************************************

    12. เหตุเพราะไม่ทำพินัยกรรม ทายาทถึงมีปัญหา
    เมื่อมีทั้งคู่สมรสและเครือญาติ เรื่องของมรดกนั้น หากเจ้ามรดกทำพินัยกรรมเรียบร้อยย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้นี่เองย่อมกลายเป็นเรื่องยุ่งยากตามมา กรณีที่ผู้ตายซึ่งเป็นเจ้ามรดกมีสามีหรือภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้อง ฝ่ายที่ยังมีชีวิตอยู่มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์สินครึ่งหนึ่งจากมรดกส่วนที่เป็นสินสมรสก่อน ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1625 ส่วนสินสมรสที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ก็จะตกเป็นมรดกของทายาท ดังนั้น คู่สมรสจึงมีสิทธิได้รับมรดกอีกครั้งหนึ่งในฐานะทายาทร่วมกับ (ลูกเจ้ามรดก) และบิดามารดาของผู้ตายที่ยังมีชีวิตอยู่ตามประมวล กฏหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา 1629, 1635 (1) ตัวอย่างเช่น นายเอและนางบี เป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย และมีทรัพย์สินรวมกัน 1,000,000 บาท มีบุตรด้วยกัน 1 คน และมีบิดา และมารดาของนายเอที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย ต่อมานายเอเสียชีวิต เบื้องต้นทรัพย์สิน จำนวน 1,000,000 บาท นางบีจะได้รับเงินจำนวน 500,000 บาท ไปก่อน ซึ่งถือเป็นเงินสินสมรส ส่วนที่เหลืออีก 500,000 ก็ตกเป็น มรดกของทายาทตามลำดับของนายเอ ที่ประกอบด้วยบุตร บิดามารดา ที่ยังมีชีวิต และนางบีภรรยาอีกด้วย โดยจะได้ส่วนแบ่งในอัตราสัดส่วน เท่าๆ กัน คือคนละ 125,000 บาท ขณะที่นางบีภรรยาจะได้เงินรวมทั้งสิ้น 625,000 บาท

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
    ***************************************

    13. เป็นพระสงฆ์มีสิทธิได้รับมาดกหรือไม่
    ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1622 ได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของพระภิกษุในการรับมรดก ดังนี้ พระภิกษุนั้น จะเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยธรรมไม่ได้ เว้นแต่จะได้สึกจากสมณะเพศ และมาเรียกร้องภายในกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 และวรรคสองของมาตรา 1622 ได้บัญญัติไว้ว่า พระภิกษุนั้น อาจเป็นผู้รับพินัยกรรมได้ดังนั้น กรณีมีบุคคลที่บวชเป็นพระ หากต้องการเรียกร้องทรัพย์สินมรดกในฐานะที่ตนเป็นทายาทโดยธรรมจะต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแล้วมาเรียกร้องทรัพย์มรดกได้ อย่างไรก็ดี การที่มาเรียกร้องทรัพย์มรดกจะต้องเรียกร้องภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตามบทบัญญัติของมาตรา 1754 แต่สำหรับกรณีที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้พระภิกษุนั้น พระภิกษุไม่จำเป็นต้องสึกจากการเป็นพระเสียก่อนแต่อย่างใด ทั้งนี้สามารถรับมรดกในฐานะทายาท โดยพินัยกรรมได้ทันทีที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com

    ***************************************



    14. ทรัพย์สินของพระที่ได้มาระหว่างบวช มรณภาพแล้ว ทรัพย์นั้นไปใหน
    ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ได้บัญญัติว่าทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาระหว่างที่อยู่ในสมณะเพศนั้น เมื่อพระภิกษุถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้นหรือที่อยู่ในขณะมรณภาพ แต่อย่างไรก็ตาม หากพระภิกษุในขณะมีชีวิตอยู่ได้ทำการจำหน่าย จ่ายโอนทรัพย์สินนั้นไปหรือยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่น ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกแก่วัด อีกทั้งพระภิกษุก็มีสิทธิทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลอื่นได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น นอกจากนี้ทรัพย์สินใดของพระภิกษุได้มาก่อนอุปสมบท ทรัพย์สินนั้นก็ไม่ตกเป็นของวัดแต่อย่างใด หากไม่ได้จำหน่ายจ่ายโอนให้ผู้ใด เมื่อพระภิกษุมรณภาพ ทรัพย์สินนั้นก็ตกเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมต่อไป ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1624

    ปรึกษาทนาย 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดี https://www.สู้คดี.com
    ***************************************

    15. สัญญาเช่าเป็นมรดกตกทอดถึงทายาทหรือไม่
    หลายครอบครัวพักอาศัยในบ้านเช่า ซึ่งอยู่กันมายาวนานหลายรุ่น หากเจ้าของบ้านใจดีให้ต่อสัญญาเช่ายามที่ผู้เช่าเสียชีวิต ลูกหลานก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ต่อสัญญาเช่าให้ ลูกหลานต้องย้ายออกหรือไม่นั้น กรณีนี้จะต้องมาดูว่า สัญญาเช่าเป็นมรดกตกทอดได้หรือไม่
    ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 บัญญัติไว้ว่า อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้นคือสัญญา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้เช่า ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น และ มาตรา 544 ทรัพย์สินซึ่งเช่านั้น ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิของตนอันมีในทรัพย์สินนั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนให้แก่บุคคลภายนอก ท่านว่าหาอาจทำได้ไม่ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาเช่า
    จากตัวบททั้งสองมาตรา อาจสรุปได้สั้นว่า สัญญาเช่าเป็นการตกลงกันเฉพาะตัวระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า เมื่อผู้เช่าตายไปสิทธิดังกล่าว จึงไม่ใช่สิทธิของบุคคลอื่นนอกสัญญา เช่น ลูกหลาน เป็นต้น
    ดังนั้น เมื่อสัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า หากผู้เช่าตายสัญญาเช่าย่อมระงับไป ไม่เป็นมรดกตกทอดไปยังทายาท

    มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com
    ***************************************

    16. พินัยกรรมแก้ทุกปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์มรดก
    การแย่งมรดกเป็นปัญหาที่สร้างความแตกแยกในครอบครัวได้มากที่สุด ซึ่งวิธีป้องกันปัญหาให้เกิด น้อยที่สุด สามารถสรุปได้1) เมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิตต้องมีการตั้งผู้จัดการมรดกต่อศาล ซึ่งมีระยะเวลารอคำสั่งศาลประมาณ 1 เดือน2) เจ้ามรดกควรทำพินัยกรรมเพื่อความชัดเจนหากมีปัญหาฟ้องร้องกันในภายหลัง โดยเฉพาะพินัยกรรมฝ่ายเมืองซึ่งเป็นที่นิยมที่สุด
    3) การบันทึกภาพและเสียงของเจ้ามรดกว่าทำพินัยกรรมไว้จริงและมีสติสัมปัชชัญญะสมบูรณ์จะช่วยให้การนำสืบง่ายมากยิ่งขึ้น
    4) หากไม่มีพินัยกรรม การรับมรดกเป็นไปตามหลักการ ‘ญาติสนิทตัดญาติห่าง’ และภรรยาที่จดทะเบียน มีสิทธิได้รับมรดก ภรรยานอกสมรสไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก นอกจากจะขอให้เจ้ามรดกยกให้ก่อนเสียชีวิต บุตรของภรรยานอกสมรสก็ไม่มีสิทธิรับมรดก เว้นแต่เจ้ามรดกจะจดทะเบียนรับรองบุตร หรือเป็นบุตรที่เจ้ามรดกให้การรับรองโดยพฤติการณ์ และบุตรบุญธรรมก็เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627
    อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com
    ***************************************

    17. ผู้จัดการมรดกยักยอกทรัพย์มรดก ทายาททำอย่างไรดี
    ในบางกรณีอาจพบว่า ผู้จัดการมรดก ไม่แบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท บางทีอาจฮุบมรดกเป็นของตัวเอง บางทีก็สมรู้ร่วมคิดโอนมรดกไปให้คนอื่น การกระทำดังกล่าวไม่ใช่แค่เรื่องทางแพ่งอย่างเดียว แต่ยังเป็นการกระทำผิดทางอาญาอีกด้วย โดยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 353 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่น หรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    อยู่ต่างจังหวัด ปรึกษาทนายความในจังหวัดของคุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายความในจังหวัดของคุณได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายใกล้คุณ.com
    ***************************************

6. รู้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน

เรื่อง แรงงาน

  1. จ้างแรงงานกับจ้างทำของ แตกต่างกันอย่างไร
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
  3. คนทำงานต้องเสียภาษี
  4. ตกงาน อย่าตกใจ
  5. แรงงานเถื่อน นายจ้างควรระวัง
  6. เลิกจ้างโดยลูกจ้าง
  7. นายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน ลูกจ้างควรทำอย่างไร
  8. สิทธิของลูกจ้างหลังเลิกจ้าง
  9. ประกันสังคมที่นายจ้างต้องปฎิบัติ
  10. เงินทดแทน
  11. นายจ้างเรียกหลักค้ำประกันการทำงานของลูกจ้างได้หรือไม่
  12. ลูกจ้างอยากทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้หรือไม่
  13. อยากทำธุรกิจจัดหางานต้องทำอย่างไร
  14. ทำธุรกิจจัดหางานเถื่อนมีโทษหนัก
  15. ความหมายของนายจ้างและลูกจ้าง
  16. ค่าจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
  17. สิทธิของลูกจ้างที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามกฎหมาย
  18. ทำงานแทบตาย ไม่จ่ายค่าจ้าง
  19. การบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน
  20. สิทธิของลูกจ้างภายหลังถูกเลิกจ้าง



คุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย
มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445
ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com 
************************************


1. จ้างแรงงานกับจ้างทำของ แตกต่างกันอย่างไร
การจ้างแรงงาน คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง โดยที่ลูกจ้างต้องอยู่ในการกำกับดูแลภายใต้การบังคับบัญชาของนายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้ค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนตลอดเวลาที่ทำงานให้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 นอกจากนี้ การจ้างแรงงานต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่พึงได้ตามกฎหมายอีกด้วย
สำหรับการจ้างทำของ คือ สัญญาของบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงจะทำงานสิ่งหนึ่งสิ่งใด จนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จของงานนั้นดังนั้นการจ้างทำของ เป็นกรณีที่ต้องการผลความสำเร็จของงาน โดยผู้ว่าจ้างจะจ่ายค่าตอบแทนให้เมื่อผู้รับจ้างทำงานที่ว่าจ้างสำเร็จ ทั้งนี้ ผู้รับจ้างทำงานไม่ต้องอยู่ในการบังคับบัญชาของผู้ว่าจ้างแต่อย่างใด เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com 

******************************************

2. ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
นายจ้าง เป็นผู้ที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างโดยตรงนอกจากนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ยังกำหนดให้บุคคลที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้าง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมการผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ รวมทั้งบุคคลที่นายจ้างมอบหมายให้ดำเนินการต่างๆ โดยมีอำนาจบังคับบัญชาแทนนายจ้าง ย่อมถือว่าเป็นนายจ้างด้วยเช่นกัน แต่หากคำสั่งที่ได้มอบหมายจากนายจ้างขัดต่อกฎหมาย ย่อมถือว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งของนายจ้างโดยตรง
สำหรับลูกจ้าง หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้าง โดยรับค่าจ้างเป็นการตอบแทน ทั้งนี้ลูกจ้างต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ห้ามเป็นการจ้างนิติบุคคล หรือองค์กร ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างชั่วคราวลูกจ้างประจำ และไม่ว่าจะมีกำหนดระยะเวลาการจ้างหรือไม่ก็ตาม ผู้เป็นลูกจ้างจะได้รับคุ้มครองจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเช่นกัน

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com

******************************************


3. คนทำงานต้องเสียภาษี
หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของประชาชนไทยที่มีรายได้ ก็คือจะต้องเสียภาษี ให้กับรัฐบาล เพื่อที่รัฐบาลจะนำเอาเงินนั้นไปบำรุงและพัฒนาประเทศ บางคนคิดว่าเรื่องภาษี หรือตัวเลขเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย ไม่อยากเกี่ยวข้อง หรือคิดไม่เป็นไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายยังไงหรือเท่าไร ที่จริงการเสียภาษีนั้นก็เหมือนกับข้อกฎหมายอื่นๆ ที่ ประชาชนก็ ควรต้องมี ความรู้และปฏิบัติตามอย่างถูกต้องด้วย ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 40 (1) นั้นได้กำหนดและจำแนก รายละเอียดของเงินได้หรือรายได้ที่จะต้องเสียภาษีไว้อย่างละเอียด อาทิ เงินได้ จากการจ้างแรงงาน ทั้งพนักงานในธุรกิจเอกชน และภาครัฐบาล เงินได้เกิดจากการ จ้างแรงงานที่มีคู่สัญญาระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยมีกำหนดระยะเวลาจ้าง โดยลูกจ้างตกลงทำงานให้แก่นายจ้าง หรือหุ้นที่บริษัทแจกให้กับพนักงานก็ต้อง นำมาคิดเป็นเงินได้ที่ต้องประเมินภาษีด้วย

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้ศาล 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

******************************************

4. ตกงาน อย่าตกใจ
มนุษย์เงินเดือนก็มีความหวังอยู่ที่เมื่องานทำแล้วก็ได้จะได้เงินเดือนมาเลี้ยงปาก เลี้ยงท้องตัวเองรวมทั้งคนในครอบครัว บางคนก็เอามาจ่ายหนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในชีวิต แต่ถ้าเกิดเหตุที่ทำให้ต้องตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว ก็อย่าเพิ่งตกใจจนเกินเหตุ เพราะระหว่างทำงานลูกจ้างทุกคนจะต้องจ่ายค่าประกันสังคมกับสำนักงาน ประกันสังคมไว้หากต้องตกงานก็สามารถใช้สิทธิขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนประกันสังคมได้ ตามข้อกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน พ.ศ. 2547 ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งมีรายละเอียดการให้ ความช่วยเหลือแตกต่างกันไป ซึ่งก็จะทำให้เรามีเงินจำนวนหนึ่งมารองรังสำหรับ การเริ่มต้นครั้งใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหางานใหม่ หรือคิดจะทำอะไรด้วยตัวเองดังนั้นเรื่องประกันสังคมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อยังมีงานทำก็ควรจะทราบสิทธิ์ ของเราตรงนี้เอาไว้

อยู่กรุงเทพ มีปัญหาปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com 
 *****************************

5. แรงงานเถื่อน นายจ้างควรระวัง
แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งการเข้าสู่ยุคการค้าเสรีระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน แต่แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาในเมืองยังต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ดังนั้นหากใครสนับสนุนให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาโดยผิดกฎหมาย ตามมาตรา 64 ซึ่งกำหนดบทลงโทษไว้ว่า ผู้ที่ รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจั กรโดยฝ่าฝืน กฎหมายแล้วให้ที่พักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคล ต่างด้าวนั้น เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 50,000 บาทใครจะรับแรงงานต่างชาติเข้ามาควรศึกษากฎหมายให้ดีด้วย

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

 *****************************



6. เลิกจ้างโดยลูกจ้าง
การจ้างแรงงานระหว่างลูกจ้างและนายจ้างไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งการจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อลูกจ้างทำงานให้นายจ้าง ลูกจ้างก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีความพึงพอใจต่อกัน หากฝ่ายใดประสงค์จะเลิกสัญญาก็แสดงเจตนาให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้
ส่วนการเลิกจ้าง ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเป็นจำนวนเท่าใด ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในอีกกรณีหนึ่ง ถึงแม้จะมีข้อบังคับของนายจ้างว่า ลูกจ้างต้องบอกล่วงหน้าก่อนลาออกอย่างน้อย 30 วัน ก็ไม่สามารถบังคับลูกจ้างให้ปฏิบัติได้ แต่หากลูกจ้างจงใจหรือเจตนาละทิ้งงานทำให้นายจ้างเสียหาย ก็เป็นเรื่องที่นายจ้างจะต้องดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายอีกกรณีหนึ่ง ดังนั้นการที่ลูกจ้างไม่ประสงค์ทำงานให้นายจ้าง จึงเป็นเรื่องของความสมัครใจซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้ เมื่อลูกจ้างแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างเพียงฝ่ายเดียวสัญญาจ้างแรงงานก็สิ้นสุด

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com
*****************************  

7. นายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน ลูกจ้างควรทำอย่างไร
มนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานโดยทั่วไปก็ต้องมุ่งหวังว่าเมื่อทำงานให้เขาแล้ว ถึงเวลาที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานนั้นๆ เพื่อนำไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ก็มักมีกรณีเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ที่ลูกจ้างไม่ได้รับ เงินเดือนหรือค่าตอบแทนการทำงานตามสิทธิ์ที่ควรจะได้รับจากนายจ้าง หรืออาจเป็นการทำงานวันหยุดไม่ได้ค่าล่วงเวลา หรืออาจถึงขั้นให้ออกจากงาน โดยไม่จ่ายเงินชดเชยสิทธิโดยชอบธรรมของลูกจ้างนั้นมีระบุไว้ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ประสบปัญหาเหล่านี้สามารถไปยื่นคำร้องพนักงานตรวจแรงงาน ในพื้นที่สถานที่ทำงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 หรือใช้สิทธิ์ฟ้องศาลแรงงานเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม โดยที่ศาลนี้จะดำเนินการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com
********************************

8. สิทธิของลูกจ้างหลังเลิกจ้าง
โดยปกติแล้ว สัญญาจ้างแรงงานจะมีบทบัญญัติอยู่ทั้งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แต่ถ้าข้อกฎหมายใดบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แล้ว จะไม่นำข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้กับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอีก เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเป็นกฎหมายพิเศษ
นอกจากนี้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้มีข้อปฏิบัติอีก 2 ประการ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ซึ่งข้อปฏิบัติดังกล่าวกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับใบสำคัญ หรือใบรับรองการทำงานจากนายจ้างเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง และในกรณีที่นายจ้างนำลูกจ้างมาจากต่างถิ่น นายจ้างต้องใช้ค่าเดินทางกลับให้แก่ลูกจ้างด้วยเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com
******************************************

9. ประกันสังคมที่นายจ้างต้องปฎิบัติ
เมื่อเข้าไปทำงานในองค์กรเอกชน สิ่งที่พนักงานและลูกจ้างควรจะทราบไว้ เพื่อรักษาสิทธิของตนเองคือการยื่นแบบประกันสังคมของนายจ้าง เพราะทุกสถานที่ประกอบการเมื่อรับลูกจ้างเข้าทำงานใหม่ นายจ้างจะต้องดำเนินการยื่นแบบรายชื่อลูกจ้างที่รับเข้ามาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ลูกจ้างนั้นเป็นผู้ประกันตน หรือทำงานในหน่วยงาน หากนายจ้างไม่ยื่นแบบภายในกำหนดเวลาดังกล่าวถือว่านายจ้างผู้นั้นได้กระทำผิดต่อพระราชบัญญัติประกันสังคม พุทธศักราช 2533 มาตรา 34 ประกอบมาตรา 96 วรรค 1 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหก เดือนปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปัจจุบันผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์มากมายจากการนำเงินส่งประกันสังคม โดยสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการหักเงินนำส่งของนายจ้าง ซึ่งนายจ้างจะออกให้อีกเท่าหนึ่งของลูกจ้างที่ได้หักเพื่อนำส่งไว้ สิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับ นอกจากจะเป็นค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยไข้ หรือได้รับอุบัติเหตุ ผู้ประกันตนยังได้รับเงินบำเหน็จหรือบำเหน็จจากการเกษียณอายุ 55 ปี เมื่อผู้ประกันตนส่งเงินสมทบครบ 15 ปีของการทำงานอีกด้วย เพราะฉะนั้นการยื่นแบบแสดงเงินเดือนของลูกจ้างที่นายจ้างพึงกระทำจะต้องตรงกับความจริงที่ได้จ่ายเงินค่าจ้างให้กับลูกจ้างรายนั้น แต่หากนายจ้างรายใดไม่ต้องการจะจ่ายเงินสมทบมาก ก็จะแจ้งข้อมูลเป็นเท็จในแบบแสดงรายการที่ยื่น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่ทางกฎหมายกำหนดไว้ หากเป็นเช่นนี้ถือว่า นายจ้างรายนั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติประกันสังคม พุทธศักราช 2533 มาตรา 34 ประกอบมาตรา 94 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
********************************

10. เงินทดแทน
การเจ็บป่วยเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการดำรงชีวิต บุคคลใดที่ไม่เจ็บป่วยถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักรที่ร่างกายจะทนแดด ทนฝน หรือทนการใช้แรงงานอย่างหามรุ่งหามค่ำได้ ต้องมีภาวะเจ็บป่วยเป็นของธรรมชาติ ดังนั้นหากขาดการดูแลสุขภาพร่างกาย หรือเกิดอันตรายในระหว่างการทำงาน และขาดการพักผ่อนที่เพียงพอหรือสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมทำงานแต่ยังฝืนทำจนได้รับอันตรายหรือไปเจ็บป่วยในสถานที่ทำงาน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ ตามกฎหมายให้นายจ้างรักษาพยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงหรือตามความจำเป็น ตามกฎหมายที่กำหนด แต่หากนายจ้างรายใดไม่จัดให้ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายแล้ว ถือว่านายจ้างผู้นั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติเงินทดแทน พุทธศักราช 2537 มาตรา 13 ประกอบมาตรา 62 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เงินเดือนแล้ว หลายๆ คนก็อยากจะทำงานกับบริษัทที่มีสวัสดิการที่ดี แต่บริษัทที่ให้สวัสดิการอย่างครบครันยังไม่ครอบคลุมทุกธุรกิจ แต่อย่างหนึ่งที่ทุกบริษัทจะต้องจัดทำคือการนำส่งแบบลงทะเบียนและแบบรายการแสดงรายชื่อลูกจ้างและจ่ายเงินสมทบต่อสำนักงานแห่งท้องที่ที่นายจ้างยื่นแบบลงทะเบียนจ่ายเงินสมทบไว้ หากนายจ้างหรือธุรกิจใดไม่ยื่นแบบดังกล่าวภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสบทบถือว่า นายจ้างรายนั้นได้กระทำผิดพระราชบัญญัติเงินทดแทน พุทธศักราช 2537 มาตรา 44 ประกอบมาตรา 62 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com
*******************************

11. นายจ้างเรียกหลักค้ำประกันการทำงานของลูกจ้างได้หรือไม่
นายจ้างมีสิทธิเรียกหลักค้ำประกันจากลูกจ้างหรือผู้เข้าทำงานได้ หากหน้าที่หรือความรับผิดชอบของลูกจ้างมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินทอง หรือทรัพย์สินของนายจ้างที่เล็งเห็นแล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ แต่ถ้าหากหน้าที่ความรับผิดชอบของลูกจ้างไม่มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งนายจ้างได้เรียกหรือรับหลักค้ำประกันการทำงาน หรือหลักประกันการเสียหายในการทำงาน หรือแม้แต่การค้ำประกันด้วยบุคคลจากลูกจ้างโดยมิชอบ ถือว่านายจ้างได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 10 ประกอบมาตรา 144 มีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com
*************************************

12. ลูกจ้างอยากทำงานล่วงเวลาเกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ได้หรือไม่
การทำงานล่วงเวลา มีความหมายว่าการทำงานนอกเหนือ หรือเกินเวลาทำงานปกติ หรือเกินชั่วโมงทำงานในแต่ละวันที่นายจ้างตกลงกันในวันทำงาน หรือวันหยุดแล้วแต่กรณี ซึ่งการที่นายจ้างไม่อาจอนุญาตให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาได้ตามความต้องการ เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 24, 25, 26 และ 144 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาเกินสัปดาห์ละ 36 ชั่วโมง หากนายจ้างรายใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com
*****************************

13. อยากทำธุรกิจจัดหางานต้องทำอย่างไร
อาชีพนายหน้าจัดหางาน มีหน้าที่ในการสรรหาบุคคลากรที่มีฝีมือและตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจรับจัดหางานจะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืนถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พุทธศักราช 2528 มาตรา 8 ประกอบมาตรา 73 มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อยู่กรุงเทพ ปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com
*****************************

14. ทำธุรกิจจัดหางานเถื่อนมีโทษหนัก
ที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวกรณีนายหน้าหรือบริษัทจัดหางานเถื่อนหลอกลวงให้ไปทำงานต่างประเทศ และมีประชาชนหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ถือเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พุทธศักราช 2528 มาตรา 91 ตรี ในฐานความผิดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศ และได้ไปซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ
*****************************  

15. ความหมายของนายจ้างกับลูกจ้าง
นายจ้าง เป็นผู้ที่รับลูกจ้างเข้าทำงานและจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างโดยตรงนอกจากนี้ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ยังกำหนดให้บุคคลที่มีอำนาจกระทำการแทนนายจ้าง ซึ่งอาจจะเป็นกรรมการผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ รวมทั้งบุคคลที่นายจ้างมอบหมายให้ดำเนินการต่างๆ โดยมีอำนาจบังคับบัญชาแทนนายจ้าง ย่อมถือว่าเป็นนายจ้างด้วยเช่นกัน แต่หากคำสั่งที่ได้มอบหมายจากนายจ้างขัดต่อกฎหมาย ย่อมถือว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งของนายจ้างโดยตรง
สำหรับลูกจ้าง หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้าง โดยรับค่าจ้างเป็นการตอบแทน ทั้งนี้ลูกจ้างต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ห้ามเป็นการจ้างนิติบุคคล หรือองค์กร ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างชั่วคราวลูกจ้างประจำ และไม่ว่าจะมีกำหนดระยะเวลาการจ้างหรือไม่ก็ตาม ผู้เป็นลูกจ้างจะได้รับคุ้มครองจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเช่นกัน

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้ศาล 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************

16. ค่าจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
ค่าจ้าง คือ เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน เพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำงานในวัน เวลาทำงานปกติ และมีการจ่ายให้เป็นประจำ นอกจากนี้ ยังหมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและในวันลา อันได้แก่ ค่าจ้างค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด ที่ลูกจ้างได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 5

มีปัญหาปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************

17. สิทธิของลูกจ้างที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามกฎหมาย
กฎหมายได้ให้การคุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง หากเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับการจ้างแรงงาน ในกรณีที่ลูกจ้างไม่ได้เงินค่าจ้าง ค่าชดเชย หรือเงินอื่นใดที่ตนมีสิทธิได้รับโดยนายจ้างไม่ยินยอมจ่ายให้ ลูกจ้างมีสิทธิเลือกดำเนินการได้ 2 แนวทาง
แนวทางที่ 1 ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานในท้องที่ที่ลูกจ้างทำงานอยู่หรือที่นายจ้างมีภูมิลำเนาเดิม ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 มาตรา 123 หากลูกจ้างถึงแก่ความตายไปก่อน ซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับเงินอย่างใดอย่างหนึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายกำหนดให้ทายาทโดยธรรม มีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแทนได้
แนวทางที่ 2 ลูกจ้างสามารถใช้สิทธิทางศาล โดยการยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานตามเขตอำนาจของศาลแต่ละแห่งที่ลูกจ้างมีภูมิลำเนา หรือมูลคดีที่เกิดข้อพิพาทได้ ทั้งนี้ หากเกิดคดีพิพาทเกี่ยวกับแรงงานลูกจ้างจะไม่เสียค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด และการพิจารณาของศาลแรงงาน มีขั้นตอนที่ดำเนินคดีให้เป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือกระทบต่อการดำรงชีวิตของลูกจ้าง

มีปัญหาปรึกษาทนายกรุงเทพ 099 464 4445 ค้นหาทนายความได้ที่เวปไซต์นี้: www.ทนายกรุงเทพ.com

***************************************

18. ทำงานแทบตาย ไม่จ่ายค่าจ้าง
มนุษย์เงินเดือนหรือคนทำงานโดยทั่วไปก็ต้องมุ่งหวังว่าเมื่อทำงานให้เขาแล้ว ถึงเวลาที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานนั้นๆ เพื่อนำไปเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ก็มักมีกรณีเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ที่ลูกจ้างไม่ได้รับ เงินเดือนหรือค่าตอบแทนการทำงานตามสิทธิ์ที่ควรจะได้รับจากนายจ้าง หรืออาจเป็นการทำงานวันหยุดไม่ได้ค่าล่วงเวลา หรืออาจถึงขั้นให้ออกจากงาน โดยไม่จ่ายเงินชดเชยสิทธิโดยชอบธรรมของลูกจ้างนั้นมีระบุไว้ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ประสบปัญหาเหล่านี้สามารถไปยื่นคำร้องพนักงานตรวจแรงงาน ในพื้นที่สถานที่ทำงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 123 หรือใช้สิทธิ์ฟ้องศาลแรงงานเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นธรรม โดยที่ศาลนี้จะดำเนินการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com

***************************************

19. การบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน
การจ้างแรงงานระหว่างลูกจ้างและนายจ้างไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งการจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อลูกจ้างทำงานให้นายจ้าง ลูกจ้างก็ต้องได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน โดยทั้งสองฝ่ายต่างมีความพึงพอใจต่อกัน หากฝ่ายใดประสงค์จะเลิกสัญญาก็แสดงเจตนาให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้
ส่วนการเลิกจ้าง ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเป็นจำนวนเท่าใด ก็เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาในอีกกรณีหนึ่ง ถึงแม้จะมีข้อบังคับของนายจ้างว่า ลูกจ้างต้องบอกล่วงหน้าก่อนลาออกอย่างน้อย 30 วัน ก็ไม่สามารถบังคับลูกจ้างให้ปฏิบัติได้ แต่หากลูกจ้างจงใจหรือเจตนาละทิ้งงานทำให้นายจ้างเสียหาย ก็เป็นเรื่องที่นายจ้างจะต้องดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายอีกกรณีหนึ่ง ดังนั้นการที่ลูกจ้างไม่ประสงค์ทำงานให้นายจ้าง จึงเป็นเรื่องของความสมัครใจซึ่งไม่สามารถบังคับกันได้ เมื่อลูกจ้างแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างเพียงฝ่ายเดียวสัญญาจ้างแรงงานก็สิ้นสุดลง

มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com

***************************************

20. สิทธิของลูกจ้าง ภายหลังถูกเลิกจ้าง
โดยปกติแล้ว สัญญาจ้างแรงงานจะมีบทบัญญัติอยู่ทั้งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แต่ถ้าข้อกฎหมายใดบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานพุทธศักราช 2541 แล้ว จะไม่นำข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้กับสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอีก เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานเป็นกฎหมายพิเศษ
นอกจากนี้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้มีข้อปฏิบัติอีก 2 ประการ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พุทธศักราช 2541 ซึ่งข้อปฏิบัติดังกล่าวกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับใบสำคัญ หรือใบรับรองการทำงานจากนายจ้างเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง และในกรณีที่นายจ้างนำลูกจ้างมาจากต่างถิ่น นายจ้างต้องใช้ค่าเดินทางกลับให้แก่ลูกจ้างด้วยเมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง

ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
***************************************

7. รู้กฎหมายเกี่ยวกับรถยนต์

  1. รถยนต์หายในห้างสรรพสินค้า
  2. รถยนต์หายในโรงแรม
  3. รถยนต์ถูกชนใครจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนั้น
  4. ซื้อรถราคาถูกต้องระวัง
  5. ซื้อรถมือ 2 มือ 3 มือ 4 ต้องอย่างไร

    ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาข้อมูลสู้คดีได้ที่เวปไซต์นี้ www.ใกล้คุณ.com
    ***************************************
    1. รถยนต์หายในห้างสรรพสินค้าใครรับผิดชอบ
    ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง รถจะชนกัน เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่สำหรับกรณีที่รถชนกันแล้วเราเป็นฝ่ายถูกนั้น และในระหว่างที่รถเราซ่อมหากเราเช่ารถมาขับหรือนั่งแท็กซี่ เราสามารถเรียกร้องให้ฝ่ายผิดรับผิดชอบค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ที่ต้องจ่ายเงินได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1874/2526 ซึ่งตัดสินว่า ค่าเช่ารถ ซึ่งโจทก์ต้องเช่ามาใช้ระหว่างซ่อมรถ ถือได้ว่าเป็นความเสียหายของโจทก์จากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถ ซึ่งจำเลยที่เป็นผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย และผู้รับประกันภัยรถของจำเลย จึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าเสื่อมราคาและค่าเช่ารถให้แก่โจทก์
    ดังนั้น หากรถถูกชน และเราเป็นฝ่ายถูกสามารถเรียกค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ระหว่างรถเราซ่อมจากบริษัทประกันได้

    ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
    ***************************************

    2. รถยนต์หายในโรงแรมใครรับผิดชอบ
    โรงแรมเป็นสถานที่ให้บริการที่พัก สถานที่จัดเลี้ยง รวมถึงบริการสปา นวดแผนโบราณ เป็นต้น ซึ่งบางครั้งผู้ใช้บริการอาจไม่ใช่ผู้เข้าพักในโรงแรม แต่ไปใช้บริการธุรกิจส่วนต่างๆ ซึ่งอยู่ภายในโรงแรม แต่เกิดกรณีรถที่จอดไว้ภายในโรงแรมเกิดหายขึ้นมาจะทำเช่นไร จากกรณีดังกล่าวประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 กำหนดว่า เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา และในคำพิพากษาฎีกาที่ 6918/2558 ตัดสินขยายความว่า แม้โรงแรมของจำเลยจะมีการให้บริการในส่วนของการนวดแผนโบราณ โดยสถานที่นวดอยู่ภายในอาคารของโรงแรมก็ตาม แต่ลักษณะของการเข้ามาใช้บริการดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นเพื่อต้องการพักผ่อนเท่านั้น ซึ่งการใช้บริการไม่จำต้องลงทะเบียนขอเปิดห้องพักเหมือนอย่างกรณีการเข้าพักอาศัย จึงไม่ใช่คนเดินทางหรือแขกอาศัยตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 เมื่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้สูญหายไป จำเลยในฐานะเจ้าสำนักโรงแรม จึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อความสูญหาย
    ดังนั้น หากมาใช้บริการส่วนต่างๆ ของโรงแรมแต่ไม่ใช่ผู้เข้าพักของโรงแรมแล้วรถเกิดหายขึ้นมา โรงแรมไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินดังกล่าว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้คุณได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้คุณ.com
    ***************************************

    3. รถยนต์ถูกชนใครจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนั้น
    ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง รถจะชนกัน เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แต่สำหรับกรณีที่รถชนกันแล้วเราเป็นฝ่ายถูกนั้น และในระหว่างที่รถเราซ่อมหากเราเช่ารถมาขับหรือนั่งแท็กซี่ เราสามารถเรียกร้องให้ฝ่ายผิดรับผิดชอบค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ที่ต้องจ่ายเงินได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1874/2526 ซึ่งตัดสินว่า ค่าเช่ารถ ซึ่งโจทก์ต้องเช่ามาใช้ระหว่างซ่อมรถ ถือได้ว่าเป็นความเสียหายของโจทก์จากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถ ซึ่งจำเลยที่เป็นผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย และผู้รับประกันภัยรถของจำเลย จึงต้องรับผิดชดใช้ ค่าเสื่อมราคาและค่าเช่ารถให้แก่โจทก์
    ดังนั้น หากรถถูกชน และเราเป็นฝ่ายถูกสามารถเรียกค่าเช่ารถหรือค่าแท็กซี่ระหว่างรถเราซ่อมจากบริษัทประกันได้

    มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com
    ***************************************

    4. ซื้อรถมาในราคาถูกต้องระวัง
    การซื้อของดีราคาถูกพอมีให้เห็นบ้าง แต่หากเป็นเรื่องของการซื้อรถราคาถูกมาก เช่น รถราคาเป็นล้าน แต่ขายเพียงแสนเดียวแบบนี้น่าสงสัยว่าเป็นรถที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยปกติการผ่อนรถกับไฟแนนซ์กรรมสิทธิ์รถย่อมเป็นของไฟแนนซ์ ดังนั้น ผู้เช่าซื้ออย่าเข้าใจผิดว่าจะทำอะไรก็ได้ และเมื่อยังผ่อนไม่หมดจะเอารถไปขายหรือไปจำนำไม่ได้ เพราะเมื่อไฟแนนซ์ติดตามรถแล้วไม่ได้คืน ผู้เช่าซื้อที่เอารถไปขายหรือจำนำจะมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ส่วนคนรับจำนำจะมีความผิดฐานรับของโจร
    ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ที่ระบุว่า ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้น เข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    มีคดีที่ศาลใหน ปรึกษาทนายใกล้ศาลนั้น 099 464 4445 ค้นหาทนายใกล้ศาลได้ที่เวปไซต์นี้ www.ทนายใกล้ศาล.com
    ***************************************

    ซื้อรถมือสอง ต้องทำอย่างไร

    ขั้นตอนการซื้อรถมือสอง
    ก่อนจะซื้อรถมือสองสักคัน ขั้นตอนใช่ว่าแค่เลือกคันชอบก็จ่ายเงินแล้วก็จบ ต้องรู้วิธีซื้อรถมือสอง Chobrord แนะนำขั้นตอนการซื้อรถมือสอง จด จำ นำไปใช้ ได้รถถูกใจแน่นอน
    ใครต้องการที่จะเป็นเจ้าของรถมือสองสักคัน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ต้องทำอะไรก่อน-หลัง และเทคนิคหรือ Tips แต่ละขั้นตอนมีอะไรบ้าง Chobrod ขออาสาพาไปดู 9 ขั้นตอนซื้อรถมือสองที่จะช่วยให้การซื้อรถมือสองเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ มาดูกันว่ามีวิธีการซื้อรถมือสองอย่างไร ให้ได้รถถูกใจคุณที่สุด
    1.ตั้งงบประมาณ
    ปัจจัยสำคัญในการซื้อรถสักคันไม่ว่าจะเป็นมือหนึ่งหรือมือสอง เรื่องงบประมาณคือตัวกำหนดผลว่ารถที่คุณได้มาจะเป็นรถประเภทใด ยี่ห้ออะไร ควรตั้งงบประมาณไว้อย่างเคร่งครัดตามกำลังจ่ายของคุณ อย่าใจอ่อนกับสิ่งยั่วเย้าจากรถรุ่นต่าง ๆ มากมายที่จะคอยมารบกวนสมาธิในการซื้อรถของคุณให้ตรงตามงบ จนอาจทำให้งบประมาณบานปลายเกินไปจากที่ตั้งไว้ตอนแรก คำนวณค่าใช้จ่ายซื้อรถให้ดี
    โดยเฉพาะกรณีที่ต้องกู้ไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถ ถ้าเผลอใจไปซื้อรถที่เกินงบประมาณ ความสุขที่หวังจะได้รับกับรถมือสองคันใหม่ของคุณ อาจหายไปแทนด้วยความปวดหัวกับการต้องจ่ายค่างวดแพง ๆ และดอกเบี้ยจำนวนมากที่คุณไม่ควรจะเสีย อย่าลืมว่าการซื้อรถมือสองยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ตามมาหลังจากซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ ดังนั้นคิดเผื่อเรื่องนี้ให้ดี เพราะนี่คือวิธีซื้อรถมือสองแต่คุณจำเป็นต้องทำให้ได้
    2.ค้นหารถมือสองที่ถูกใจ
    chobrod.com มีรถมือสองมากมายหลายประเภท หลายยี่ห้อให้เลือก เมื่อผ่านขั้นตอนแรกกับการตั้งงบประมาณของคุณมาได้แล้ว ต่อมาก็เลือกหารถมือสองตามกรอบราคาที่คุณกำหนดเอาไว้ รถมือสองนับพันคันภายในเว็บฯ จะถูกเรียงรายชื่อออกมาตามเงื่อนไขงบประมาณและความต้องการของประเภทรถหรือยี่ห้อของคุณได้ และเมื่อคลิกเข้าไปดูรายละเอียดในรถแต่ละคัน ระบบยังมีตัวจัดการเพื่อช่วยคำนวณค่าใช้จ่าย ค่างวดในแต่ละงวดให้อีกด้วย
    ข้อควรระวังในการค้นหารถมือสองจากผู้ขายในเว็บไซต์ซื้อขายรถยนต์มือสองต่าง ๆ คือเรื่องราคารถที่ดูเหมือนจะถูกเกินไปจนผิดปกติ รถทุกรุ่นมีค่าเสื่อมราคา และราคากลางในแต่ละปีของทุกรุ่นโดยเฉลี่ย ถ้าเกิดคุณไปเจอรถที่ผู้ขายลงราคาไว้ถูกกว่าคันอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันมาก ต้องตรวจสภาพรถคันนั้นเป็นพิเศษก่อนซื้อคือสิ่งที่คุณละเลยไม่ได้ คุณอาจสันนิษฐานที่มาของตัวเลขราคารถที่ถูกเกินไปได้หลายๆ เหตุผล เช่น ถ้าในแง่ดีคือผู้ขายอาจต้องการรีบใช้เงิน แต่ถ้าในแง่ร้ายที่ราคาถูกอาจเป็นเพราะตัวรถเคยชนหนักมาจนซ่อมใช้งานได้ไม่เหมือนปกติ ผู้ขายอยากขายทิ้งให้มันจบๆ หรือรุนแรงไปกว่านั้นคือเป็นรถที่ขโมยมาก็เป็นได้

    3.ติดต่อผู้ขาย
    ก่อนที่จะติดต่อผู้ขายนั้น คุณจะต้องจดรายการคำถามต่างๆ เบื้องต้นเกี่ยวกับรถคันที่คุณสนใจก่อน ข้อมูลรายละเอียดบางอย่างของตัวรถอาจไม่ได้ถูกระบุไว้ตั้งแต่ในเว็บฯ ตัวอย่างคำถามอาทิ เป็นรถมือที่เท่าไร?, ทำไมถึงขาย?, รถเคยชนหนักมาหรือเปล่า?, มี Book Service ตัวรถมีปัญหาในการใช้งานตรงไหนที่ต้องแก้ไขหรือไม่เมื่อซื้อไป? เป็นต้น เมื่อคำถามพร้อม คนซื้อพร้อมก็ติดต่อกับผู้ขายได้ และสอบถามรายละเอียดต่างๆ ที่คุณต้องการทราบเกี่ยวกับรถคันนั้นได้เลย
    คุณต้องไม่ลืมการสังเกตลักษณะการตอบและคำตอบจากผู้ขายในเรื่องความมั่นใจในการให้ข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตัวรถ ถ้าคำตอบมาประเภทแบบ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ไม่มี” แบบนี้แนะนำว่าถ้าคุณมีตัวเลือกรถคันอื่นอยู่ด้วยควรหันไปเลือกดูรถคันอื่นๆ แทนก่อนดีกว่า

    4. ตรวจสอบผู้ขาย
    ถ้าผู้ขายเป็นเพียงผู้ขายรถทั่วไป ไม่ใช่เต็นท์ รู้ไว้ก่อนเลยว่าสิ่งที่คุณจะไม่ได้รับคือบริการหลังการขาย เพราะผู้ขายประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกขายแล้วขายเลย ไม่มีการมาช่วยให้คำตอบหรือช่วยแก้ปัญหารับผิดชอบใดๆ เมื่อตัวรถมีปัญหา ถ้าคุณรับได้กับเรื่องสภาพตัวรถและราคาการซื้อรถจากผู้ขายรถประเภทนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียว

    5. ตรวจสอบประวัติรถ
    ไม่ว่าจะเป็นผู้ขายรถประเภทใดก็ตาม เรื่องที่มาที่ไปของรถผู้ขายต้องแสดงให้ชัดเจน เล่มทะเบียนตัวจริงต้องมี ชื่อเจ้าของในเล่มทะเบียนต้องตรงกับชื่อของผู้ขายหรือถ้าไม่ตรงต้องมีเอกสารการโอนลอยแสดงด้วย เพื่อเป็นข้อยืนยันว่าไม่ใช่รถที่ถูกขโมยมา หรือรถยังค้างชำระอยู่กับไฟแนนซ์
    เลขตัวถังรถ คือข้อมูลบอกประวัติที่มาของรถได้
    นอกจากนี้ ส่วนของประวัติตัวรถสามารถดูได้จากเลข VIN หรือเลขตัวถังรถ ซึ่งก็คล้ายกับรหัสบัตรประชาชนของคน ข้อมูลจากเลข VIN จะบอกถึงที่มาของรถตั้งแต่ออกจากโรงงานว่าเป็นรถรุ่นอะไร สีอะไร เครื่องยนต์อะไร เมื่อเทียบกับตอนที่คุณไปดูรถแล้วเหมือนกันหรือเปล่า ถ้าไม่เหมือนก็แสดงว่าเจ้าของรถเดิมน่าจะต้องไปทำการดัดแปลงอะไรเกี่ยวกับตัวรถคันดังกล่าวมาพอสมควร เลี่ยงการซื้อขายรถคันนั้นไปจะดีที่สุด
    ดูเพิ่มเติม

    6. ตรวจสอบสภาพรถ (หาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญไปดูรถด้วย)ถ้าคุณจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ชำนาญในการดูรถมือสองก่อนซื้อ น่าจะเป็นความคิดที่ดีถ้ามีช่างที่มีประสบการณ์ในการดูรถ มาช่วยคุณดูสภาพรถคันนั้นๆ ก่อนตกลงปลงใจซื้อ เพราะช่างที่อยู่กับรถมามากกว่าจะใช้ความเชี่ยวชาญดูและบอกกับคุณได้ว่าตัวรถมีปัญหาที่ตรงไหน ต้องเสียค่าซ่อมประมาณเท่าไร ถ้าซื้อรถไปแล้วต้องเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับซ่อมตรงไหนไว้บ้าง

    การตรวจสภาพรถมือสองก่อนซื้อ ควรมีผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ
    ขั้นตอนการซื้อรถมือสองสำหรับผู้ที่จะไปดูสภาพรถมือสองด้วยตัวเอง
    นัดดูรถในเวลากลางวัน แสงสว่างมากพอ เพราะความมืดจะทำให้คุณเห็นตัวรถไม่ชัดเจนถึงรายละเอียด และยังทำให้ไม่เห็นถึงปัญหาที่จะตามมาหลังจากซื้ออีกด้วย ทั้งรอยขีดข่วน รอบบุบของรถจะถูกมองเห็นได้ง่ายกว่าเมื่อแสงพร้อม รวมไปถึงหลักฐานการเชื่อมซ่อมตัวถังหรือพ่นสีในกรณีที่รถเคยผ่านการชนหนัก จนต้องซ่อมครั้งใหญ่
    ตรวจสอบช่องไฟ ความห่างระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ ต้องเท่ากันทุกชิ้นเช่นที่ภายนอก ฝากระโปรง ประตู กันชนหน้า-หลัง ถ้าไม่ นั่นอาจหมายถึงรถเคยผ่านการถอด ประกอบชิ้นส่วนเหล่าจากการซ่อมตัวถังเพราะเคยถูกชนหนักมาก็เป็นไปได้
    ส่วนของเครื่องยนต์ ลองมองดูว่ามีคราบน้ำมันรั่วไหลหรือเยิ้มที่จุดใดจุดหนึ่งหรือเปล่า ถ้ามีแสดงว่าซีลยางตรงจุดนั้นๆ ของเครื่องยนต์เริ่มเสื่อม รวมถึงคราบสนิมบริเวณหม้อน้ำที่บอกถึงความสึกหรอของตัวหม้อน้ำเอง
    ตรวจดูสภาพซีลยางรถรอบๆ คัน ว่ามีรอยแตก เสื่อมสภาพแล้วหรือยัง
    ยางทั้งสี่ล้อ ลองตรวจดูวันเดือนปีของยางและสภาพโดยรวม ว่ายังพอใช้งานต่อไปได้อีกนานแค่ไหน
    ลองสตาร์ทเครื่องดูตอนที่เครื่องเย็น เหมือนตอนใช้งานจริง จะช่วยทำให้รู้ว่าตัวรถมีปัญหาในตอนสตาร์ทตอนเช้าหรือเปล่า
    นี่เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นของการดูสภาพรถมือสองรอบ ๆ คัน สภาพความผิดปกติเมื่อตรวจสอบสภาพสามารถนำไปใช้ได้ในขั้นตอนการต่อรองราคาได้

    7. ต้องลองขับ (เอาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญนั่งไปด้วย)วิธีที่จะช่วยให้คุณรู้จักกับรถคันที่จะซื้อได้มากขึ้น และรู้ถึงปัญหาของตัวรถได้มากที่สุดนั่นคือการทดลองขับ บางครั้งแค่การลองสตาร์ทอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้ถึงปัญหาของรถจริงๆ การได้ทดลองขับจะช่วยให้รู้ถึงการทำงานของระบบต่างๆ ภายในรถว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ได้เทียบการใช้งานระบบต่างๆ ของรถจริงๆ และได้รู้ปัญหาของระบบช่วงล่างด้วยถ้าช่วงล่างของรถคันนั้นกำลังมีปัญหา

    8. ตกลงต่อรองราคา
    ถ้าตัวรถมีปัญหาตามจุดต่างๆ ให้คุณจำปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ เพื่อนำไปใช้ในการต่อรองราคารถกับผู้ขาย โดยคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะต้องนำรถไปซ่อม แก้ปัญหาเหล่านั้นและนำยอดไปเพื่อขอลดราคาตัวรถ ถ้าผู้ขายคุยง่ายและเข้าใจว่ารถมีปัญหาจริง คุณก็อาจจะได้ส่วนลดจากราคาที่ตั้งไว้ตอนแรกมากกว่าที่คิดก็เป็นได้

    9. ตรวจสอบเอกสาร-ชำระเงิน
    ในวันซื้อขาย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารต่างๆ ถูกต้อง ครบตามที่ได้ตรวจสอบตั้งแต่แรกทั้งหมด รวมถึงข้อมูลของผู้ขาย คุณต้องขอหลักฐานต่างๆ เอาไว้ด้วยเช่นกัน ทั้งสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน เผื่อต้องมีการตรวจสอบรถขึ้นมากรณีที่ตัวรถมีปัญหาภายหลังเจ้าหน้าที่จะได้รู้ที่มาที่ไปของรถ ทำการซื้อขายได้ เมื่อเอกสารต่างๆ ครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น
    ซึ่งข้อสำคัญหนึ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจในการซื้อขายคือ เมื่อชำระเงินแล้วต้องได้เล่มทะเบียนทันที ถ้ายังไม่ได้เล่มฯ หรือผู้ขายลีลายังไม่ให้ในตอนนั้นที่รับรถ อย่าจ่ายเงินซื้อรถเด็ดขาด เพราะเป็นสัญญาณแสดงว่าผู้ขายอาจยังไม่มีเล่มทะเบียน จะด้วยเหตุว่าเป็นรถที่ขโมยมาหรือเป็นรถที่ยังติดไฟแนนซ์ก็เป็นได้ทั้งสองกรณี
    การเป็นเจ้าของรถมือสองดีๆ สักคัน ไม่ยากอย่างที่หลายคนกังวลแล้วใช่ไหม กับวิธีการซื้อรถมือสองง่าย ๆ  ที่คุณสามารถจัดการหลาย ๆ ขั้นตอนได้ด้วยตัวเอง มีเพียงส่วนของการตรวจสภาพรถเท่านั้น ที่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการช่วยพิจารณาตัดสินก่อนซื้อ และเรื่องการตรวจสอบเอกสารที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
    รถมือ 1 หรือมือ 2 ต้องมีประกัน (ควรใช้สัญญาซื้อขายฉบับทนายของคุณ สัญญาซื้อขายให้)การประกันก็เปรียบเสมือนผู้ขายรับรองคุณภาพรถที่ขายให้เรา ถ้าไม่มีประกันก็ไม่ควรซื้อครับ การประกันต้องระบุไว้ในสัญญาซื้อขายด้วยนะครับ ประกันตามระยะทางที่ผู้และผู้ขายกำหนด หรือจะประกันตามระยะเวลาที่ผู้ซื้อและผู้ขายกำหนดกันไว้ ถ้ารถมีปัญหาระหว่างประกันผู้ซื้อต้องบริการรถลากและซ่อมให้วช้งานได้เป็นปกติ แต่ถ้ามีการซ่อมเกินเวลา 3 วัน ถือว่าสัญญาเลิกกัน ผู้ขายต้องคืนเงินทั้งหมด โดยหักค่าใช้ประโยชน์จากรถวันละ … บาท หรือผู้ซื้อสามารถเปลี่ยนรถคนใหม่ได้
    ข้อควรระวัง ไม่ควรวางเงินมัดจำ หรือเชื่อถือคำชักชวนของผู้ขาย คุณควรเชื่อหรือติดสินใจซื้อจากช่างหรือผู้เชี่ยวชาญที่คุณพาไปนะครับ

    ปรึกษาทนายสู้คดี 099 464 4445 ค้นหาทนายได้ที่เวปไซต์นี้ www.สู้คดี.com
    ***************************************  

8. รู้กฎหมายคนเข้าเมือง

การแจ้งที่พักของชาวต่างชาติ

การแจ้งที่พักของชาวต่างชาติ เจ้าของหรือผู้ครอบครอง เคหสถาน หรือผู้จัดการโรงแรม ซึ่งรับคนต่างด้าวซึ่งได้อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเข้าพักอาศัย จะต้องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ ณ ที่ทำงานการตรวจคนเข้าเมืองซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่ที่บ้าน เคหสถาน หรือโรงแรมนั้นตั้งอยู่ ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ชาวต่างชาติเข้าพักอาศัย ถ้าท้องที่ใดไม่มีที่ทำการตรวจคนเข้าเมืองตั้งอยู่ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ สถานีตำรวจในท้องที่นั้น

          กรุงเทพมหานคร ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 7 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
โทรศัพท์ 02 141 7881

          ต่างจังหวัด ณ ที่ทำการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งตั้งอยู่ในท้องที่เคหสถานหรือโรงแรมนั้นอยู่
          การกำหนดโทษ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตาม ต้อง ระวางโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท แต่ถ้าผู้นั้นเป็นผู้จัดการโรงแรม ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 2000 บาท ถึง 10000 บาท

          คำสั่ง กระทรวงมหาดไทย ที่ 1/2558 เรื่องไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาในราชอาณาจักร มีผลบังคับใช้วันที่ 20 มีนาคม 2559 มีมาตรการเข้มงวดในการแจ้งที่พักอาศัยบุคคลต่างด้าว ตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมืองเพื่อควบคุมและสามารถติดตามตัวชาวต่างชาติ ที่อาจส่งผลกระทบต่อชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่โดยถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ประเทศไทยมั่นคงและปลอดภัยตามนโยบายของรัฐบาล

          กรณีคนต่างด้าว อยู่เกินกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุญาต (Overstay) ในราชอาณาจักรไทย ดังนี้

1.   กรณีคนต่างด้าวเข้ามอบตัว

1.1 อยู่เกินกว่า 90 วัน ห้ามเข้าประเทศไทย 1 ปี

1.2 อยู่เกิน 1 ปี ห้ามเข้าประเทศไทย 3 ปี

1.3 อยู่เกิน 3 ปี ห้ามเข้าประเทศไทย 5 ปี

1.4 อยู่เกิน 5 ปี ห้ามเข้าประเทศไทย 10 ปี

2.   กรณีคนต่างด้าวถูกจับกุมดำเนินคดี

2.1 อยู่เกินระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตต่ำกว่า 1 ปี ห้ามเข้าประเทศไทย 5 ปี

2.2 อยู่เกินกว่า 1 ปี ห้ามเข้าประเทศไทย 10 ปี

หมายเหตุ พบเห็นชาวต่างชาติกระทำผิดหรือมีพฤติกรรมต้องสงสัยแจ้งข้อมูลได้ที่ 1178

รู้กฎหมายกฎหมายทั่วไป

  1. กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัว
  2. กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของประชาชน
  3. กฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
  4. กฎหมายเกี่ยวกับจราจร
  5. กฎหมายเกี่ยวกับอาหารและยา
  6. กฎหมายเกี่ยวกับชื้อขาย
  7. กฎหมายเกี่ยวกับกู้ยืม
  8. กฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน
  9. กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สิน
  10. กฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
  11. กฎหมายเกี่ยวกับฉ้อโกง
  12. กฎหมายเกี่ยวกับลักทรัพย์
  13. กฎหมายเกี่ยวกับหมิ่นประมาท
  14. กฎหมายเกี่ยวกับปลอมแปลงเอกสาร
  15. กฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์
  16. กฎหมายเกี่ยวกับหนี้
  17. กฎหมายเกี่ยวกับซื้อขายออนไลน์
  18. กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด
  19. กฎหมายเกี่ยวกับศาล
  20. กฎหมายเกี่ยวกับประกันตัว
  21. กฎหมายเกี่ยวกับทะเลาะวิวาท

 

รู้กฎหมาย

  1. หมุดเดินได้
  2. เรื่องหมาๆ
  3. เสียงเพลงเป็นเหตุ
  4. น้องหมาใครอึไว้ในที่สาธารณะ เจ้าของต้องตามเก็บ
  5. ต้นไม้เหี่ยวเฉา
  6. วางสิ่งของบนทางเท้า
  7. ทิ้งขยะลงน้ำลำคลอง
  8. พ่นสีกำแพง
  9. ควันไฟเป็นเหตุ
  10. จุดไฟเผาหญ้า
  11. ยิงปืนขึ้นฟ้า
  12. เสือปืนไว
  13. นักเลงสุรา
  14. ลูกอกตัญญู
  15. วิธีจัดการต้นไม้เพื่อนบ้านตามกฎหมาย
  16. จอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น
  17. จอดรถบนทางเท้า
  18. โดนหมากัด เรียกค่าตกใจได้
  19. เลี้ยงหมาในคอนโด


    ขอบคุณข้อมูลจากเพจรู้หมดกฎหมาย

    www.สู้คดี.com

    คอลเซ็นเตอร์ทนายความ 099 464 4445

    แชทกับทนายภูวงษ์: https://bit.ly/lawyerpoovong

    01.เรื่องหมุดเดินได้

    อสังหาริมทรัพย์" ตามความเข้าใจของหลายท่าน หมายถึง ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ซึ่งตามความหมายนั้นถูกต้องอย่างแน่แท้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ดินนั้น มักจะยืดได้ ขยายได้หรือเล็กลงได้ อันมาจากสาเหตุ “หมุดที่ดินเดินได้” จากบุคคลบางกลุ่มที่เคลื่อนย้าย ทำลาย หรือแม้กระทั่งถอนจนนำมาสู่การทะเลาะเบาะแว้งและคดีความต่างๆ ทั้งนี้

         ทั้งนี้ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 67 และมาตรา 109 ได้กำหนดข้อห้ามไม่ให้ผู้ใดนอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ทำลายดัดแปลง เคลื่อนย้าย ถอดถอนหลักหมายเขต หรือหมุดหลักฐานเพื่อการแผนที่นั้นไปจากที่เดิม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานที่ดิน ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ 

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    *********************************************

    02.เรื่องหมาๆ

    ปัญหาเล็กๆ แต่ส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ เช่น กรณีสุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้ไล่กัดไก่ของผู้อื่นได้รับความเสียหายในทางกฎหมายอาญา "สุนัข" ถูกจัดเป็น "สัตว์ดุ" ซึ่ง "สัตว์ดุ" หมายความว่า โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเองมิใช่สัตว์ดุร้าย แต่อาจเป็นสัตว์ดุซึ่งเจ้าของจะต้องมีการควบคุมดูแลเป็นพิเศษ หากเจ้าของปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นไปทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น นอกจากเจ้าของสุนัขจะต้องชดใช้ให้ผู้เสียหายแล้ว ยังมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 377 

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    *********************************************

    2.1 คนถูกหมากัดเรียกค่าเสียหายได้

    รู้หรือไม่ เมื่อถูกสุนัขกัดนอกจากจะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการถูกกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 แล้ว ยังสามารถเรียกค่าตกใจและทุกข์ทรมานจากเจ้าของหมาได้อีกด้วย ซึ่งเป็นไป         ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2488/2523 ซึ่งศาลเคยตัดสินว่า สุนัขหลบหนีออกไปได้ขณะจำเลยเปิดประตู สุนัข จึงออกไปกัดโจทก์ได้ แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรในการเลี้ยงดูสุนัข จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามมาตรา 433 รวมทั้งทดแทนความตกใจและทุกข์ทรมานด้วยตามมาตรา 446 วรรคแรก ที่ระบุว่า ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    ***************************************

    03.เสียงเพลงเป็นเหตุ

    บางท่านที่มีความชื่นชอบในเสียงเพลง และชอบฟังเพลงเสียงดังที่เปิดแต่ละครั้งได้ยินไปถึง 3 บ้าน 8 บ้าน เพื่อให้เพื่อนบ้านได้ร่วมเสพความสุนทรีย์ด้วย แต่หากเพื่อนบ้านไม่ได้ชื่นชอบเสียงเพลงด้วยอาจจะเปลี่ยนจากความสุนทรีย์เป็นการรบกวนเพื่อนบ้านได้ ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 370 ระบุไว้ว่า ผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน1,000 บาท 

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    *********************************************

    04.น้องหมาใครอึไว้ในที่สาธารณะ เจ้าของต้องตามเก็บ

    สุนัข หรือ น้องหมา ถือเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมของใครหลายๆ คน เนื่องจากมีความน่ารัก และซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ซึ่งข้อความระวังของเจ้าของสุนัข คือ กรณีที่สุนัขของท่านอาจไปอุจจาระบนถนนสาธารณะ เพราะท่านจะต้องตามเก็บและทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพราะหากท่านไม่ยอมจัดการเก็บไปทิ้งนอกจากจะเป็นที่น่ารังเกียจของผู้อื่นที่พบเห็นแล้ว ยังเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 14 (2) ที่ห้ามมิให้ผู้ใดปล่อยให้สัตว์ถ่ายมูลบนถนนและมิได้ขจัดมูลดังกล่าวให้หมดไป ซึ่งจะมีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    *********************************************

    05. ต้นไม้เหี่ยวเฉา

    หลายท่านอาจคิดว่า การปลูกต้นไม้ในบ้านตนเองจะดูแลอย่างไรก็ได้ หรือจะปล่อยให้เหี่ยวเฉาตายไปก็ได้ เป็นเรื่องภายในบ้านของแต่ละบุคคล แต่แท้จริงแล้วกฎหมายได้มีข้อบังคับกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือที่ดินต้องดูแลต้นไม้ในพื้นที่บริเวณอาคารของตน เพราะหากปล่อยปละละเลยให้ต้นไม้เหี่ยวแห้งหรือมีสภาพรกรุงรัง หรือปล่อยปละละเลยให้มีสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยในกระถางต้นไม้ หรือที่บริเวณภายนอกของอาคาร จะมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 8 (2) และมาตรา 54 

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    *********************************************

    06.วางสิ่งของบนทางเท้า

    ภาพผู้ขายสินค้าบนทางเท้า ถือเป็นภาพที่เห็นจนชินตาโดยเฉพาะในชุมชนเมือง แต่รู้หรือไม่ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองพ.ศ. 2535 มาตรา 19 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดๆ บนถนน เว้นแต่เป็นการกระทำในบริเวณที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศกำหนดด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร และหากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    *********************************************

    07.ทิ้งขยะลงน้ำลำคลอง

    สาเหตุหนึ่งของน้ำท่วมขังมาจากการทิ้งขยะไม่เป็นที่จนทำให้ขยะเหล่านั้นไปขวางทางระบายน้ำซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของ บ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 33 ห้ามมิให้ผู้ใดเทหรือทิ้งสิ่งปฏิกูล มูลฝอย น้ำโสโครก หรือสิ่งอื่นใดลงบนถนนหรือในทางน้ำ ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    *********************************************

    08.พ่นสีกำแพง

    การแสดงออกของวัยรุ่น วัยคะนองบางกลุ่มนิยมพ่นสีกำแพงสาธารณะเป็นชื่อกลุ่ม ชื่อแก๊งค์ของพวกตนเพื่อแสดงอาณาเขต ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการแสดงออกที่ไม่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535มาตรา 12 ที่ห้ามมิให้ผู้ใด ขูด กระเทาะ ขีด เขียน พ่นสี หรือทำให้ปรากฏด้วยประการใด ๆ ซึ่งข้อความ ภาพ หรือรูปรอยใด ๆ ที่กำแพงที่ติดกับถนน บนถนน ที่ต้นไม้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคารที่อยู่ติดกับถนน หรืออยู่ในที่สาธารณะ เว้นแต่จะเป็นการกระทำของราชการส่วนท้องถิ่น ราชการส่วนอื่นหรือรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานที่มีอำนาจกระทำได้ ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท ตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    *********************************************

    09.ควันไฟเป็นเหตุ

    ภาพที่ชาวนากำลังเผาฟางข้าวและตอซังเพื่อเตรียมการเพาะปลูกในฤดูใหม่ถือเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดละอองขี้เถ้าปลิวกระจายไปในอากาศก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับบุคคลอื่นได้ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มาตรา 25 บัญญัติว่า ในกรณีที่มีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงหรือผู้ที่ต้องประสบกับเหตุนั้นดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นเหตุรำคาญและรวมถึงการกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือน ฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ประกอบกับในมาตรา 27 ในกรณีที่มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นในที่หรือทางสาธารณะ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้บุคคลซึ่งเป็นต้นเหตุหรือเกี่ยวข้องกับการก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญนั้น ระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญภายในเวลาอันสมควรตามที่ระบุไว้ในคำสั่ง และถ้าเห็นสมควรจะให้กระทำโดยวิธีใดเพื่อระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญนั้น หรือสมควรกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันมิให้มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นอีกในอนาคต ให้ระบุไว้ในคำสั่งได้

         ในกรณีที่ปรากฏแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามวรรคหนึ่ง และเหตุรำคาญที่เกิดขึ้นอาจเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นระงับเหตุรำคาญนั้น และอาจจัดการตามความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุรำคาญ แต่หากมีผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    *********************************************

    10.จุดไฟเผาหญ้า

    สุภาษิตที่ว่า “โจรปล้นสิบครั้งยังไม่เท่ากับไฟไหม้ครั้งเดียว” เพราะขึ้นชื่อว่าไฟแล้วย่อมเผาผลาญทุกอย่างที่ขวางหน้า และสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การสูญเสียทางอัคคีภัย คือ การเผาหญ้าตามไร่นาข้างทาง ซึ่งการกระทำดังกล่าวแม้จะเผาหญ้าในที่ดินของตัวเองแต่หากปล่อยปละละเลยจนลุกลามเกิดความเสียหายหรืออันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่นย่อมมีความผิด ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 220 

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    *********************************************

    11.ยิงปืนขึ้นฟ้า

    เชื่อว่าหลายๆ ท่าน คงจะเห็นภาพจนชินตากับการยิงปืนขึ้นฟ้าในช่วงเทศกาลต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 ระบุว่า ผู้ใดยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

         นอกจากนี้ ศาลฎีกายังเคยตัดสินในคำพิพากษาฎีกา ที่ 3452/2546 ว่าจำเลยยิงปืนขึ้นฟ้าหนึ่งนัด แม้จะเป็นเพียงการทดสอบว่าอาวุธปืนของกลางนั้นจะยังใช้ได้อยู่หรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในหมู่บ้านตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376 แล้ว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    *********************************************

    12. เสือปืนไว

    สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้” น่าจะใช้ได้ดีกับพฤติกรรมของวัยรุ่นบางกลุ่มในสมัยนี้ที่มีการจับกลุ่มทะเลาะวิวาทตามที่เห็นจากสื่อต่างๆ โดยเฉพาะพวกเสือปืนไวหรือชอบชักปืน โชว์อาวุธในการต่อสู้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 379 กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” ซึ่งอาวุธในที่นี้หมายถึง อาวุธทุกชนิด ทั้งสิ่งที่ไม่เป็นอาวุธโดยสภาพ เช่น คัทเตอร์ มีดพับ และรวมไปถึงอาวุธโดยสภาพ เช่น ดาบ หอก ปืน และจะผิดตามมาตรา 379 ได้ต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วน ดังนี้ 1) ชักหรือโชว์อาวุธ 2) เป็นสถานการณ์ สมัครใจทะเลาะวิวาทกันทั้ง 2 ฝ่าย

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    *********************************************

    13.นักเลงสุรา

         “ดื่มสุราสักหมื่นจอกกับมิตรสหายที่รู้ใจ ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา” การพูดด้วยถ้อยคำหวานหูกับเพื่อนร่วม วงเหล้าถือเป็นสิ่งที่ดี แต่หากการตั้งวงดื่มสุราแล้วส่งเสียงดัง รบกวนผู้อื่น โดยเฉพาะในยามวิกาล ถือเป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคแรก ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็น การรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท นอกจากนี้ ศาลยังเคยตัดสินไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1398/2506 การที่จำเลยด่าซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งที่หน้าประตูบ้านผู้เสียหายในเวลากลางดึกอันเป็นเวลาหลับนอนของผู้เสียหายซึ่งอยู่ในบ้าน ถือได้ว่า เป็นการทำให้ผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อน รำคาญ การกระทำเช่นนี้ จึงผิดมาตรา 397

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    ***************************************

    14. ลูกอกตัญญู

        แม่คนเดียวสามารถเลี้ยงลูกสิบคนได้ แต่ลูกสิบคนไม่อาจเลี้ยงแม่ได้ เป็นคำเปรียบเทียบความรักของแม่ที่มีต่อลูก ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563 ระบุไว้ว่า บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา

         นอกจากนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 307 ยังบัญญัติถึงกรณีลูกทิ้งพ่อแม่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ไว้ให้เป็นความผิดและมีโทษ ดังนี้ ‘ผู้ใดมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญาต้องดูแลผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้ เพราะอายุ ความป่วยเจ็บ กายพิการ หรือจิตพิการ ทอดทิ้งผู้ซึ่งพึ่งตนเองมิได้นั้นเสียโดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่ชีวิต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าการทอดทิ้งดังกล่าวเป็นเหตุให้บิดามารดาถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 308 ผู้กระทำต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา หรือฐานทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส (มาตรา 290 มาตรา 297 หรือมาตรา 298 ) อีกด้วย

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    ***************************************

    15.วิธีจัดการต้นไม้เพื่อนบ้านตามกฎหมาย

    บ้านใกล้เรือนเคียงกัน รักกัน ดีกัน มีชัยไปกว่าครึ่ง แต่บางกรณีปัญหาเล็กๆ เช่น เรื่องต้นไม้ของเพื่อนบ้านอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน เพื่อขจัดปัญหาการกระทบกระทั่งระหว่างเพื่อนบ้าน จึงขอแนะนำวิธีจัดการต้นไม้ของเพื่อนบ้านในส่วนที่รุกล้ำมาบ้านเรา ดังนี้

         1) หากเป็นกิ่งไม้ จะต้องบอกเพื่อนบ้านก่อน หากเขาไม่ตัดแล้วเราค่อยตัด กรณีนี้เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1846/2500 ระบุว่า ในทางแพ่ง ถ้าจำเลยได้บอกกล่าวโจทก์เสียก่อนและให้เวลาพอสมควรแล้ว จำเลยก็อาจตัดกิ่งไม้ของโจทก์ที่ยื่นล้ำที่ของจำเลยเข้าไปนั้นได้ นอกจากนี้ การตัดกิ่งไม้หรือรากไม้ (ส่วนที่รุกล้ำ เข้ามาบ้านเรา) ไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากขาดเจตนาและเป็นการกระทำเพื่อป้องกันกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินของตนซึ่งสามารถทำได้

         2) รากไม้ตัดได้เลย ไม่ต้องบอก ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1347 บัญญัติว่าเจ้าของที่ดินอาจตัดรากไม้ ซึ่งรุกเข้ามาจากที่ดินติดต่อ เมื่อเจ้าของที่ดินได้บอกผู้ครอบครองที่ดินติดต่อให้ตัดภายในเวลาอันสมควรแล้ว แต่ผู้นั้นไม่ตัดท่านว่า เจ้าของที่ดินตัดเอาเสียได้

         3) ผลหล่นในบ้านเราก็กินได้ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1348 บัญญัติว่าดอกผลแห่งต้นไม้ที่หล่นตามธรรมดาลงในที่ดินติดต่อแปลงใด ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นดอกผลของที่ดินแปลงนั้น

         4) ต้น อย่าไปตัด เพราะมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและเป็นละเมิดในทางแพ่งอีกด้วยอาจถูกเรียกค่าสินไหมทดแทนได้

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    ***************************************

    16.จอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น

    รู้หรือไม่ว่า การจอดรถขวางประตูบ้านคนอื่นถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายฐานสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 397 ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่นอันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท

         ทั้งนี้ จากกรณีเทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1908/2518 จำเลยจอดรถขวางกั้นไม่ให้โจทก์ถอยรถออกไปจากซอยที่เกิดเหตุ เป็นการรังแกข่มเหงทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนรำคาญ แม้ซอยนั้นจะอยู่ในที่ดินของผู้มีชื่อซึ่งแบ่งให้ผู้อื่นเช่าปลูกบ้าน แต่ประชาชนก็ชอบที่จะเข้าออกไปติดต่อกับผู้ที่อยู่ในซอยนั้นได้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำในที่สาธารณสถาน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397

    คอลเซ็นเตอร์ เครือข่ายทนายความ 02 114 7522

    (ปรึกษาเบื้องต้นฟรี)

    ******************************************

    17.จอดรถบนทางเท้า

    หลายๆ ท่านอาจจะชินกับภาพที่เห็นจนคุ้นตากับการจอดรถในทางสาธารณะที่ห้ามจอดต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณทางเท้า จึงส่งผลให้ไม่มีพื้นที่ให้คนเดินเท้าได้สัญจรเลย ทั้งนี้ พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ 2535 มาตรา 17 (2) ห้ามมิให้ผู้ใดจอดหรือขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์หรือล้อเลื่อนบนทางเท้า เว้นแต่จะเป็นการจอดหรือขับขี่เข้าไปในอาคารหรือประกาศของเจ้าพนักงานจราจรผ่อนผันให้จอดหรือขับขี่ได้ ส่วนผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับไม่เกิน 5,000 บาท ตามมาตรา 56 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้บ้าน 099 464 4445

    ***************************************

    18.โดนหมากัด เรียกค่าตกใจได้ครับ

    รู้หรือไม่ เมื่อถูกสุนัขกัดนอกจากจะเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการถูกกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 433 แล้ว ยังสามารถเรียกค่าตกใจและทุกข์ทรมานจากเจ้าของหมาได้อีกด้วย ซึ่งเป็นไป ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2488/2523 ซึ่งศาลเคยตัดสินว่า สุนัขหลบหนีออกไปได้ขณะจำเลยเปิดประตู สุนัข จึงออกไปกัดโจทก์ได้ แสดงว่าจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรในการเลี้ยงดูสุนัข จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามมาตรา 433 รวมทั้งทดแทนความตกใจและทุกข์ทรมานด้วยตามมาตรา 446 วรรคแรกที่ระบุว่า ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหาย          จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    **************************************

    19.เลี้ยงหมาแมวในคอนโดมิเนียม

     คนเมืองที่อยู่อาศัยกันตามคอนโดมิเนียมต้องการเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะหมาหรือแมว แต่ประสบปัญหาว่านิติบุคคลไม่ยอมให้เลี้ยงเพราะผิดข้อบังคับ ของนิติบุคคลอาคารชุด ตามข้อเท็จจริงแล้วผู้อยู่ในคอนโดจะสามารถเลี้ยงสัตว์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับมติเสียงส่วนใหญ่ของกรรมการนิติบุคคลในคอนโดมิเนียมนั้น ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติอาคารชุด (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 มาตรา 32 และ มาตรา 33 และมาตรา 37/6 ทั้งนี้ หากเสียงส่วนใหญ่ไม่อนุญาตก็ต้องออกข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดในเรื่องการดูแลความปลอดภัยหรือความสงบเรียบร้อยภายในอาคารชุด ที่ระบุว่า ไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ในคอนโดฯ รวมทั้งกำหนดบทลงโทษ เช่น เสียค่าปรับ หรือหากลูกบ้านยังฝ่าฝืนก็สามารถงดจ่ายสาธารณูปโภคได้ ดังนั้น หากสมาชิกในคอนโดใดต้องการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ก็ต้องไปแก้ระเบียบ ข้อบังคับ โดยต้องมีเสียงสนับสนุนจากเจ้าของร่วมคนอื่นๆ เกินร้อยละ 50 ขึ้นไป 

    มีปัญหาปรึกษาทนายใกล้คุณ 099 464 4445

    **************************************

การตั้งค่าคุกกี้
ไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์ในการท่องเว็บที่ดียิ่งขึ้น
คุณสามารถยอมรับคุกกี้ทั้งหมดหรือเลือกประเภทของคุกกี้ที่คุณยินดีอนุญาต
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว
เลือกคุกกี้ที่คุณต้องการอนุญาตในขณะที่คุณเรียกดูเว็บไซต์นี้ โปรดทราบว่าคุกกี้บางตัวไม่สามารถปิดได้ เนื่องจากหากไม่มีคุกกี้ เว็บไซต์จะไม่ทำงาน
ความสำคัญ
เพื่อป้องกันสแปม ไซต์นี้ใช้ Google Recaptcha ในแบบฟอร์มการติดต่อ

ไซต์นี้อาจใช้คุกกี้สำหรับอีคอมเมิร์ซและระบบการชำระเงินซึ่งจำเป็นสำหรับเว็บไซต์เพื่อให้ทำงานได้อย่างถูกต้อง
บริการของ Google
ไซต์นี้ใช้คุกกี้จาก Google เพื่อเข้าถึงข้อมูล เช่น หน้าที่คุณเยี่ยมชมและที่อยู่ IP ของคุณ บริการของ Google บนเว็บไซต์นี้อาจรวมถึง:

- Google Maps
- Google Font
ข้อมูล
ไซต์นี้อาจใช้คุกกี้เพื่อบันทึกพฤติกรรมของผู้เข้าชม ติดตามการแปลงโฆษณา และสร้างผู้ชม รวมถึงจาก:

- Google Analytics
- เครื่องมือวัด Conversion ของ Google Ads
- Facebook (Meta Pixel)